วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทความวารสารที่นี่ศรีสะเกษ

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...ตอน(ชีวิตสัมพันธ์)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “ ฝนตกพรำๆชุมฉ่ำลงดิน  ปลูกต้นไม้ทีไรต้องได้ตอบคำถามชาวบ้านทุกที  ปลูกทำไม?  ปลูกแล้วขายที่ไหน?  เมื่อไหร่จะโต?  ปลูกแล้วได้อะไร?  ต้นไม้ไม่เคยร้องกินข้าว  ไม่เคยร้องว่าหิวน้ำ  ลงมือปลูกลงดินแล้วต้นไม้มีแต่ให้มนุษย์  สักวันฉันจะเติบโตปลูกต้นไม้คืนอ๊อกซิเจนให้โลก ดอกเบี้ยเยอะแยะ...” คุณจะเชื่อหรือไม่ว่านี่คือคำบอกเล่าของชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งที่โพสน์ผ่านเฟสบุ๊คที่มีชื่อว่า  (Somthawin  Thawichat)  เมื่อผมได้อ่านโพสน์นี้แล้วทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาทันที  “ชีวิตสัมพันธ์”

                เพลงชีวิตสัมพันธ์ เป็นเพลงที่แต่งโดย ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ร่วมกับ อัสนี โชติกุล ขับร้องบันทึกเสียงโดยศิลปินเพลงเพื่อชีวิตรวม 8 คน เมื่อ 29 ปี  ที่ผ่านมา ด้วยความยาวของเพลงทั้งสิ้น  7.49  วินาที  เพลงนี้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในคอนเสิร์ต เวลคัม ทู อิสานเขียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก  ซึ่งมีเนื้อหาอุทิศแก่มวลมนุษยชาติกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโครงการอิสานเขียวของกองทัพบกในขณะนั้น อันเนื่องมาจากปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
               
ความไพเราะของเพลงชีวิตสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ท่อนIntro ที่มีเสียงดนตรีแบบเรียบง่ายฟังสบายและส่งด้วยเสียงเปียโนเบาๆให้กับน้าหงา  สุรชัย  จันทิมาทร  ร้องเป็นคนแรก  “เจ้านกเอย เจ้าเคยอยู่บนกอไผ่  กู่ขันบทเพลงจากใจ ชมไพรชมพฤกษ์พนา....”  ช่างเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆด้วยสำเนียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์  พลังเสียงและการถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์ของเพลง  ซึ่งท่อนแรกของเพลงนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของธรรมชาติผ่านนกและป่าไม้ว่ามีชีวิตที่สัมพันธ์กันและกัน  ท่อนที่สองนั้นขับร้องโดยยืนยง  โอภากุล  ว่า “กู่เรื่องราวบอกกล่าวถึงความรู้สึก  เป็นเพียงสามัญสำนึกและการห่วงหาอาทร ...”  ท่อนนี้ได้ส่งสัญญาณให้ทุกคนได้รู้ว่าเงาของต้นไม้ไม่มีให้เห็นเหมือนก่อนแล้วนะ  ต้นไม้บ้านเราลดน้อยลงไปมากแล้ว  จากที่เคยมีบรรยากาศที่เย็นสบายเดี๋ยวนี้ความร้อนความแห้งแล้งเข้ามาแทนที่
   

                วรรคต่อมาของเพลงชีวิตสัมพันธ์จึงมีการตั้งคำถามให้คนฟังได้คิดกันว่า  ระหว่างสิ่งที่ดีกับสิ่งไม่ดีเราควรเลือกแบบไหนและสิ่งที่ควรจะเป็นต้องทำอย่างไรบ้าง  เช่น “ความแห้งแล้งความชุ่มชื้นอย่างไหนที่เราชอบใจ...  มันอยู่ที่ความสมบูรณ์ของหมู่แมกไม้ต้นสายต้นน้ำลำธาร...”  การเดินทางของเพลงมาถึงนาทีที่  4.33  วินาที  ได้บอกให้เราได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้วป่าไม้นั้นมีความสำคัญกับทุกชีวิตซึ่งจะขาดเสียมิได้เลยทั้งคน  สัตว์  และป่าไม้  จะต้องอยู่ด้วยกันพึ่งพาอาศัยกันไม่เบียดเบียนกัน  เหมือนคำร้องบางท่อนที่ร้องว่า  “คนหากินสัตว์หากินเราไม่เบียดเบียนกันและกัน  ต้นไม้งามคนงดงามงามน้ำใจไหลเป็นสายธาร  ชุบชีวิตทุกฝ่ายเบิกบานมีคนมีต้นไม้มีสัตว์ป่า” เสียงร้องยังคงสลับเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ

                เพลงชีวิตสัมพันธ์จบลงด้วยความสมบูรณ์พร้อมกับมีคำถามที่ตามมาว่า  ถ้าให้บำนาญชีวิตกับคนที่ปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้เหล่านั้นจนเจริญเติบโต  คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือไม่?  ผลตอบแทนของการทำหน้าที่เพิ่มออกซีเจนให้กับโลกที่เขาจะต้องได้รับก็คือ  ทุกๆปีจะได้รับเงินบำเหน็จจากการดูแลรักษาต้นไม้ตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดหรือให้เป็นทุนการศึกษากับลูกหลาน  เมื่ออายุ  60  ปี  จะได้รับเงินบำนาญชีวิตตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดจากจำนวนต้นไม้ที่ปลูกและต้นไม้ที่เจริญเติบโต  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองพิจารณาดูนะครับ  อยากเห็นศรีสะเกษในมุมแบบนี้บ้างครับ  ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้ามีสิ่งจูงใจแบบนี้คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือเปล่า? แล้วจังหวัดของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? “ ความสมดุลคือคุณตามธรรมชาติ  ดินน้ำลมฟ้าอากาศเติมวาดชุบชีวิตชน  หมู่ไม้พรรณอยู่กันมาหลายชั่วคน  ให้ใบให้ดอกให้ผลให้คนได้ผลประโยชน์”