อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...ตอน(ชีวิตสัมพันธ์)
โดย
นุกูลกิจ ทวีชาติ
“
ฝนตกพรำๆชุมฉ่ำลงดิน ปลูกต้นไม้ทีไรต้องได้ตอบคำถามชาวบ้านทุกที
ปลูกทำไม? ปลูกแล้วขายที่ไหน? เมื่อไหร่จะโต?
ปลูกแล้วได้อะไร? ต้นไม้ไม่เคยร้องกินข้าว ไม่เคยร้องว่าหิวน้ำ ลงมือปลูกลงดินแล้วต้นไม้มีแต่ให้มนุษย์ สักวันฉันจะเติบโตปลูกต้นไม้คืนอ๊อกซิเจนให้โลก
ดอกเบี้ยเยอะแยะ...”
คุณจะเชื่อหรือไม่ว่านี่คือคำบอกเล่าของชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งที่โพสน์ผ่านเฟสบุ๊คที่มีชื่อว่า (Somthawin Thawichat) เมื่อผมได้อ่านโพสน์นี้แล้วทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาทันที “ชีวิตสัมพันธ์”
เพลงชีวิตสัมพันธ์
เป็นเพลงที่แต่งโดย ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ร่วมกับ อัสนี โชติกุล
ขับร้องบันทึกเสียงโดยศิลปินเพลงเพื่อชีวิตรวม 8 คน เมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา ด้วยความยาวของเพลงทั้งสิ้น 7.49
วินาที เพลงนี้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในคอนเสิร์ต
เวลคัม ทู อิสานเขียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก ซึ่งมีเนื้อหาอุทิศแก่มวลมนุษยชาติกับสิ่งแวดล้อม
สอดคล้องกับโครงการอิสานเขียวของกองทัพบกในขณะนั้น อันเนื่องมาจากปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ความไพเราะของเพลงชีวิตสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ท่อนIntro ที่มีเสียงดนตรีแบบเรียบง่ายฟังสบายและส่งด้วยเสียงเปียโนเบาๆให้กับน้าหงา สุรชัย
จันทิมาทร ร้องเป็นคนแรก “เจ้านกเอย เจ้าเคยอยู่บนกอไผ่ กู่ขันบทเพลงจากใจ ชมไพรชมพฤกษ์พนา....” ช่างเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆด้วยสำเนียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์
พลังเสียงและการถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์ของเพลง
ซึ่งท่อนแรกของเพลงนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของธรรมชาติผ่านนกและป่าไม้ว่ามีชีวิตที่สัมพันธ์กันและกัน ท่อนที่สองนั้นขับร้องโดยยืนยง โอภากุล
ว่า “กู่เรื่องราวบอกกล่าวถึงความรู้สึก เป็นเพียงสามัญสำนึกและการห่วงหาอาทร ...” ท่อนนี้ได้ส่งสัญญาณให้ทุกคนได้รู้ว่าเงาของต้นไม้ไม่มีให้เห็นเหมือนก่อนแล้วนะ ต้นไม้บ้านเราลดน้อยลงไปมากแล้ว
จากที่เคยมีบรรยากาศที่เย็นสบายเดี๋ยวนี้ความร้อนความแห้งแล้งเข้ามาแทนที่
วรรคต่อมาของเพลงชีวิตสัมพันธ์จึงมีการตั้งคำถามให้คนฟังได้คิดกันว่า ระหว่างสิ่งที่ดีกับสิ่งไม่ดีเราควรเลือกแบบไหนและสิ่งที่ควรจะเป็นต้องทำอย่างไรบ้าง เช่น “ความแห้งแล้งความชุ่มชื้นอย่างไหนที่เราชอบใจ... มันอยู่ที่ความสมบูรณ์ของหมู่แมกไม้ต้นสายต้นน้ำลำธาร...” การเดินทางของเพลงมาถึงนาทีที่ 4.33
วินาที ได้บอกให้เราได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้วป่าไม้นั้นมีความสำคัญกับทุกชีวิตซึ่งจะขาดเสียมิได้เลยทั้งคน สัตว์
และป่าไม้
จะต้องอยู่ด้วยกันพึ่งพาอาศัยกันไม่เบียดเบียนกัน เหมือนคำร้องบางท่อนที่ร้องว่า “คนหากินสัตว์หากินเราไม่เบียดเบียนกันและกัน ต้นไม้งามคนงดงามงามน้ำใจไหลเป็นสายธาร ชุบชีวิตทุกฝ่ายเบิกบานมีคนมีต้นไม้มีสัตว์ป่า”
เสียงร้องยังคงสลับเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ
เพลงชีวิตสัมพันธ์จบลงด้วยความสมบูรณ์พร้อมกับมีคำถามที่ตามมาว่า ถ้าให้บำนาญชีวิตกับคนที่ปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้เหล่านั้นจนเจริญเติบโต คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือไม่? ผลตอบแทนของการทำหน้าที่เพิ่มออกซีเจนให้กับโลกที่เขาจะต้องได้รับก็คือ ทุกๆปีจะได้รับเงินบำเหน็จจากการดูแลรักษาต้นไม้ตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดหรือให้เป็นทุนการศึกษากับลูกหลาน เมื่ออายุ
60 ปี จะได้รับเงินบำนาญชีวิตตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดจากจำนวนต้นไม้ที่ปลูกและต้นไม้ที่เจริญเติบโต
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองพิจารณาดูนะครับ อยากเห็นศรีสะเกษในมุมแบบนี้บ้างครับ ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้ามีสิ่งจูงใจแบบนี้คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือเปล่า?
แล้วจังหวัดของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? “ ความสมดุลคือคุณตามธรรมชาติ ดินน้ำลมฟ้าอากาศเติมวาดชุบชีวิตชน หมู่ไม้พรรณอยู่กันมาหลายชั่วคน ให้ใบให้ดอกให้ผลให้คนได้ผลประโยชน์”