อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(ลานกีฬาชุมชน สู่ฮีโร่โอลิมปิก)
โดย นุกูลกิจ
ทวีชาติ
“อึม
อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ... ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน
ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า” นี่คือสร้อยเพลงที่คุ้นหูของคนไทยมายาวนานมากและทุกครั้งที่มีการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชน ตำบล
อำเภอ จังหวัดหรือระดับชาติ จะมีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่สร้างบรรยากาศให้กับการจัดการแข่งขันกีฬาและเป็นการประกาศให้คนทั่วไปทราบว่า
ณ ที่แห่งนั้นมีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่รับรู้ได้โดยทั่วกันจะเป็นเพลงอะไรนั้นติดตามไปพร้อมๆกันนะครับ
เพลงกราวกีฬาเป็นเพลงที่นิยมใช้ในการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา
ซึ่งประพันธ์คำร้องโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
หรือ สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์ขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2437 โดยครั้งแรกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในสมัยนั้นเพียงเท่านั้น
ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไปอย่างน่าอัศจรรย์
ตลอดระยะเวลากว่า 122 ปี เพลงกราวกีฬายังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์และไม่มีเพลงใดๆเข้ามาแทนที่ได้เลย เหตุผลประการหนึ่งเกิดจากการประพันธ์เนื้อร้องที่เป็นบทร้อยกรองและมีการใช้คำสัมผัสทุกวรรคทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสใน ทำให้เกิดความไพเราะของภาษาสามารถจำและร้องตามได้ง่าย ประกอบกับทำนองเพลงที่เรียบง่ายแบบไทยๆ กล่าวคือมีทำนองสั้นๆวนไปวนมาเหมือนกับการอ่านบทอาขยาน จึงทำให้เพลงกราวกีฬาติดหูคนฟังและมีความไพเราะทุกครั้งที่มีกิจกรรมแข่งขันกีฬา ถือเป็นเพลงร่วมสมัยอีกเพลงหนึ่งที่มีความเป็นอมตะ
เสน่ห์ของเพลงกราวกีฬานั้นอยู่ที่การร้องเพลงเชียร์นักกีฬาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความฮึกเฮิม
ปลุกใจนักกีฬาให้มีความกล้าหาญในการทำการแข่งขันกีฬา เหมือนกับท่อนแรกที่ร้องว่า “ พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน...” ท่อนที่ของ2 เพลงกราวกีฬายังได้บอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาคือทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อร่างกายของคนเรามีความแข็งแรงแล้วการนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆก็จะตามมาเช่นกัน
เพลงกราวกีฬาได้กล่าวถึงหลักสำคัญของความเป็นมนุษย์ไว้ในท่อนที่3และท่อนที่4 คือการมีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้
รู้ชนะ รู้อภัยและการรู้จักเคารพกติกาของสังคม การไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันรวมถึงความไม่เห็นแก่ตัวด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมได้ สุดท้ายคือความสามัคคีที่ประพันธ์ไว้ว่า “ เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก
เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ”นั่นหมายถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทีมเวิร์ค ซึ่งกลุ่มองค์กรหรือสถาบันต่างๆที่มีความสำเร็จล้วนเกิดจากความสามัคคีกันทั้งสิ้น
นอกจากเสน่ห์ของเพลงกราวกีฬาที่ได้กล่าวมาแล้ว ผมยังมองเห็นจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่น่าจะนำไปสู่การพัฒนาในระดับจังหวัดหรือระดับชาติได้ นั่นคือ การนำกีฬามาสร้างคน แล้วนำคนมาสร้างชาติ ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีลานกีฬาเพื่อออกกำลังกาย โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านกีฬาให้กับเยาวชนในระดับฐานราก ซึ่งเป็นวิธีการยกระดับความเป็นเลิศให้กับเยาวชนในชุมชนนั้นๆ
ไม่แน่นะครับลานกีฬาเล็กๆในชุมชนอาจจะสร้างฮีโร่ในกีฬาโอลิมปิกก็ได้ใครจะไปรู้ ช่วยกันนะครับอยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้างครับท่าน