วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ลานกีฬาชุมชน  สู่ฮีโร่โอลิมปิก

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(ลานกีฬาชุมชน  สู่ฮีโร่โอลิมปิก)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ... ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า”  นี่คือสร้อยเพลงที่คุ้นหูของคนไทยมายาวนานมากและทุกครั้งที่มีการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชน  ตำบล  อำเภอ  จังหวัดหรือระดับชาติ  จะมีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่สร้างบรรยากาศให้กับการจัดการแข่งขันกีฬาและเป็นการประกาศให้คนทั่วไปทราบว่า ณ ที่แห่งนั้นมีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่รับรู้ได้โดยทั่วกันจะเป็นเพลงอะไรนั้นติดตามไปพร้อมๆกันนะครับ

                เพลงกราวกีฬาเป็นเพลงที่นิยมใช้ในการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา  ซึ่งประพันธ์คำร้องโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 โดยครั้งแรกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในสมัยนั้นเพียงเท่านั้น ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไปอย่างน่าอัศจรรย์ 
ตลอดระยะเวลากว่า  122  ปี  เพลงกราวกีฬายังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์และไม่มีเพลงใดๆเข้ามาแทนที่ได้เลย  เหตุผลประการหนึ่งเกิดจากการประพันธ์เนื้อร้องที่เป็นบทร้อยกรองและมีการใช้คำสัมผัสทุกวรรคทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสใน  ทำให้เกิดความไพเราะของภาษาสามารถจำและร้องตามได้ง่าย  ประกอบกับทำนองเพลงที่เรียบง่ายแบบไทยๆ  กล่าวคือมีทำนองสั้นๆวนไปวนมาเหมือนกับการอ่านบทอาขยาน  จึงทำให้เพลงกราวกีฬาติดหูคนฟังและมีความไพเราะทุกครั้งที่มีกิจกรรมแข่งขันกีฬา  ถือเป็นเพลงร่วมสมัยอีกเพลงหนึ่งที่มีความเป็นอมตะ

                เสน่ห์ของเพลงกราวกีฬานั้นอยู่ที่การร้องเพลงเชียร์นักกีฬาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความฮึกเฮิม  ปลุกใจนักกีฬาให้มีความกล้าหาญในการทำการแข่งขันกีฬา  เหมือนกับท่อนแรกที่ร้องว่า   พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ  เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ  คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ  คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน...”  ท่อนที่ของ2 เพลงกราวกีฬายังได้บอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาคือทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์  เมื่อร่างกายของคนเรามีความแข็งแรงแล้วการนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆก็จะตามมาเช่นกัน 
เพลงกราวกีฬาได้กล่าวถึงหลักสำคัญของความเป็นมนุษย์ไว้ในท่อนที่3และท่อนที่คือการมีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้  รู้ชนะ  รู้อภัยและการรู้จักเคารพกติกาของสังคม  การไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันรวมถึงความไม่เห็นแก่ตัวด้วย  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมได้  สุดท้ายคือความสามัคคีที่ประพันธ์ไว้ว่า   เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว  ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว  ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ”นั่นหมายถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทีมเวิร์ค  ซึ่งกลุ่มองค์กรหรือสถาบันต่างๆที่มีความสำเร็จล้วนเกิดจากความสามัคคีกันทั้งสิ้น


นอกจากเสน่ห์ของเพลงกราวกีฬาที่ได้กล่าวมาแล้ว  ผมยังมองเห็นจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่น่าจะนำไปสู่การพัฒนาในระดับจังหวัดหรือระดับชาติได้  นั่นคือ  การนำกีฬามาสร้างคน  แล้วนำคนมาสร้างชาติ  ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีลานกีฬาเพื่อออกกำลังกาย  โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านกีฬาให้กับเยาวชนในระดับฐานราก  ซึ่งเป็นวิธีการยกระดับความเป็นเลิศให้กับเยาวชนในชุมชนนั้นๆ  ไม่แน่นะครับลานกีฬาเล็กๆในชุมชนอาจจะสร้างฮีโร่ในกีฬาโอลิมปิกก็ได้ใครจะไปรู้  ช่วยกันนะครับอยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้างครับท่าน