วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เบื้องหลัง...เม็ดข้าวที่สูกิน

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(เบื้องหลัง...เม็ดข้าวที่สูกิน)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ข่าวเกี่ยวกับราคาข้าวเปลือกตกต่ำเป็นวาทกรรมที่ชาวนาต้องพูดถึงกันทุกปี  หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหาวิธีการแก้ปัญหาช่วยเหลือพี่น้องชาวนาแตกต่างกันออกไป  นี่หรือคืออาชีพที่หลายๆคนให้คำนิยามว่า  “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”  ซึ่งวาทกรรมแบบนี้พูดเสมือนดั่งว่าชาวนานั้นเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างมาก  ควรค่าแก่การยกย่องเสียจริงๆ  แต่ความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ 

            ความสุขของชาวนานั้นอยู่ที่การได้ยลโฉมผลผลิตข้าวของตัวเองที่ได้ในแต่ละปี  แต่ความทุกข์ของพี่น้องชาวนาก็ตามมาเป็นเงาเช่นเดียวกัน  เมื่อได้ข่าวว่าราคาผลผลิตที่ทำมาตลอดทั้งปีนั้นขายไม่ได้ราคาตามที่ต้องการ  ความเหนื่อยยากความลำบากของอาชีพชาวนาจะมีใครสักกี่คนที่มองเห็นเบื้องหลังเหล่านั้นบ้าง
            จิตร  ภูมิศักดิ์  ได้เขียนบทกวีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทกวี "วิญญาณหนังสือพิมพ์ (คำเตือน...จากเพื่อนเก่าอีกครั้ง)" ที่เขาเขียนขึ้นในนามปากกาว่า "กวี ศรีสยาม" ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคม 2507 และกวีบทนี้ได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในปี 2518  เมื่อวงคาราวานได้นำบทกวีนี้มาใส่ทำนองกลายเป็นเพลงเปิบข้าวที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
            เพลงเปิบข้าว  ถือเป็นเพลงที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาในอดีตจนถึงปัจจุบันได้ชัดเจนและตรงที่สุด ด้วยคำร้องที่เป็นภาษากวี  ด้วยทำนองที่สั้นๆเรียบง่ายกลับไปกลับมาและเป็นแนวเพลงเพื่อชีวิตที่ถ่ายทอดการร้องโดยน้าหงา สุรชัย  จันทิมาทร  ยิ่งตอกย้ำถึงภาพชีวิตของชาวนาได้อย่างสมบูรณ์  ลองนั่งจินตนาการไปพร้อมๆกันนะครับ

“เปิบข้าวทุกคราวคำ  จงสูจำ เป็นอาจินต์  เหงื่อกู ที่สูกิน  จึงก่อเกิด มาเป็นคน
ข้าวดี ณ มีรส  ให้ชนชิม ทุกชั้นชน  เบื้องหลัง สิทุกข์ทน  และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรง มาเป็นรวง  ระยะทาง นั้นเหยียดยาว  จากรวง เป็นเม็ดพราว  ล้วนทุกข์ยาก ลำบากเข็ญ
เหงื่อหยด สักกี่หยาด  ทุกหยดหยาด ล้วนยากเย็น  ปูดโปน กี่เส้นเอ็น  จึงแปรรวง มาเป็นกิน
น้ำเหงื่อ ที่เรื่อแดง  และน้ำแรง อันหลั่งริน  สายเลือด กูทั้งสิ้น  ที่สูซด กำซากฟัน”
เพลงเปิบข้าวได้ใช้ถ้อยคำที่ประชดประชันถึงกลุ่มบุคคลที่มักดูถูกชาวนาว่าด้อยค่า  ให้รู้ว่าข้าวทุกเม็ดที่เขากินนั้น  ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแห่งความทุกข์ยากของชาวนาทั้งสิ้น  เป็นการสะกิดเตือนให้รู้ซึ้งถึงการต่อสู้ของชาวนาผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเอาแรงกายแรงใจต่อสู้กับธรรมชาติรวมถึงอำนาจการขูดรีดกดขี่ของเหล่าพ่อค้าคนกลาง 

นอกจากนั้นแล้วเพลงเปิบข้าวยังได้เล่าถึงชีวิตของชาวนาให้กับทุกคนได้ฟังอีกว่า  ข้าวทุกเม็ดที่คนไทยได้กินในแต่ละมื้อนั้นล้วนมาจากหยาดเหงื่อของชาวนา  ล้วนมาจากความทุกข์ยากลำบากของชาวนา  ยิ่งมาถึงวรรคที่ 3  4  และของเพลง  ยิ่งตอกย้ำอีกว่าข้าวแต่ละรวงนั้นมันมาจากแรงกายแรงใจของเขา  มาจากเหงื่อที่ไหลหยดจนเส้นเอ็นต้องปูดโปน  และมาจากสายเลือดของเขาทั้งสิ้น
            ความเหน็ดเหนื่อยต่อการประกอบอาชีพชาวนาที่ทำหน้าที่ปลูกข้าวให้คนทั้งชาติได้กินนั้นเหมาะสมที่สุดแล้วกับการเปรียบเทียบว่า  “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”  ซึ่งถือเป็นอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญ สมควรยกระดับให้ชาวนาเป็นอาชีพชั้นสูง  มีกฎหมายรองรับเพื่อความมั่นคงทางอาชีพ  แต่ถึงกระนั้นชาวนาเองก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง  พัฒนาความเป็นชาวนามืออาชีพ  ปรับปรุงคุณภาพของข้าวโดยเฉพาะการผลิตข้าวที่ปลอดจากสารเคมี  100  เปอร์เซ็นต์  ผมเชื่อว่าต้องขายได้และขายได้ในราคาที่สูงด้วย  ชาวนาต้องอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี  สามารถกำหนดราคาผลผลิตได้ด้วยตัวของเขาเอง  อยากเห็นชาวนาในมุมนี้บ้างครับ  สู้ๆๆๆๆเด้อ  ชาวนา