“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง(ตอน...ออกกลางครรภ์)
โดย...นุกูลกิจ ทวีชาติ
ช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากโรงเรียนเลิกแล้วผมมีโอกาสออกไปสัมผัสกับชุมชนพบปะกับผู้ปกครองและเยี่ยมบ้านนักเรียนตามบทบาทและหน้าที่ของครูที่ปรึกษา แค่บ้านหลังแรกเท่านั้นแหล่ะครับ บอกได้เลยว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกศิษย์ผมน่าสงสารมากและมีหลายคนหลายครอบครัวอีกด้วย ระหว่างที่นั่งพูดคุยกับผู้ปกครองอยู่นั้นเสียงเพลงจากบ้านข้างๆก็ดังขึ้น เสมือนหนึ่งว่าเราได้นัดกันไว้เลยทีเดียว
“นับตั้งแต่เธอจำความได้ก็ไม่เห็นหน้าพ่อและแม่ เด็กหญิงคนนี้เธอเป็นเด็กกำพร้า พ่ออยู่แห่งหนใด แม่อยู่แห่งหนใด เก็บคำถามนี้ไว้ในใจตลอดมา...”
เพลงถามยายของศิลปินปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์
ตอกย้ำความรู้สึกและสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในช่วงปี พ.ศ.2533 ได้อย่างตรงไปตรงมาจนถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลา
33 ปี นับจากวันแรกของการเปิดอัลบั้มเสือตัวที่11 เชื่อมั้ยครับว่าปัญหานั้นยังคงมีอยู่จริงในปัจจุบันและเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ
คุณยายแก่ๆซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนเล่าเรื่องราวให้ผมฟังว่า... “พ่อกับแม่ของน้องแยกทางกันตั้งแต่น้องยังเล็กๆ ต่างคนต่างไปแต่งงานใหม่และไม่กลับมาอีกเลย
ตัวเองต้องทำหน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูหลานตั้งแต่แบเบาะ ทุกวันนี้เขาก็เรียกยายว่าแม่ทุกคำนะ แต่ก็ห่วงๆเขาเหมือนกันนะครู พักหลังเขาชอบออกนอกบ้านบ่อยมาก บอกว่าไปทำการบ้านกับเพื่อน กลับมาก็ดึกๆดื่นๆครู บางวันก็นอนค้างบ้านเพื่อนกลับมาอีกทีก็เช้าเลย ครูช่วยยายหน่อยนะ อบรมสั่งสอนให้หน่อย ยายไม่อยากให้เป็นเหมือนแม่เขา”
เพลงถามยายจากบ้านข้างๆยังคงทำหน้าที่ของตัวเองมาถึงท่อนที่ว่า “เด็กหญิงเธอเริ่มสาวแล้ว เริ่มคบเริ่มรักเพื่อนชาย ไม่รู้เขาหมายอย่างเดียวก็คือความสาว ทอดกายให้เขาเชยชมพอสมใจเขาตีจาก คิดได้ก็สายเกินไปเขาไม่กลับคืน” ผมพอคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้แหล่ะที่เป็นความกังวลของยายหรือแม้แต่ผู้ปกครองคนอื่นๆ เหตุผลเพราะว่ายายเคยมีบทเรียนในอดีตที่เลวร้ายมาแล้วและไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์นั้นกลับมาซ้ำรอยเดิมอีก นั่นหมายถึงการสูญเสียอนาคตทางการเรียนของลูกสาวคนเดียวในไส้แท้ๆ
“หลานยายจากไปหลายเดือน ก็หวนคืนกลับมาใหม่ ทิ้งลูกน้อยเอาไว้ให้ยาย แล้วหลบหาย” ท่อนสุดท้ายของเพลงถามยายยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนฟังเข้าไปอีก มันสะท้อนปัญหาการท้องก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นโดยเฉพาะในวัยที่กำลังเรียนหนังสืออย่างชัดเจนและนับวันปัญหานี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มันเกิดจากอะไรนั้นเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำกลับไปถกกันต่อ แต่ผมมองถึงความไม่พร้อมด้านข้อมูลหรือองค์ความรู้ด้านเพศศึกษาที่จะช่วยในการตัดสินใจของวัยรุ่นวัยเรียนมากกว่าประเด็นอื่น
เด็กมีข้อมูลที่ถูกต้องน้อยมากขาดทักษะในการปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือว่าประเทศของเราเขาไม่ให้พูดเรื่องแบบนี้กัน ผมอยากเห็นหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องลงมารับผิดชอบปัญหาเด็กท้องก่อนวัยอันควรที่ต้นเหตุครับ
เรามาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเขาจะดีไหม อยากเห็นบ้านเมืองเราในมุมนี้บ้าง...