วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ในความละโลภโกรธหลง


“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง (ตอน...ในความละโลภโกรธหลง)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            เราได้อะไรจากเพลงเสียงจากคีตาญชลีบ้าง?... เรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเพลงเสียงจากคีตาญชลี?  นี่คือคำถามที่วิทยากรกระบวนการชวนให้หลายๆคนครุ่นคิด  หลังจากที่ร้องเพลงเสียงจากคีตาญชลีจบลง     ที่ประชุมกว่าร้อยคนเริ่มเงียบลงเพื่อใช้สมาธิในการเล่าเรื่องราวจากคำถามที่โลดแล่นอยู่ภายใน  แล้วคำตอบแรกก็ดังขึ้นมา...  ติดตามเรื่องราวเสียงเพลงจากคีตาญชลีได้เลยครับ

ก่อนหน้านี้ประมาณสักสองอาทิตย์ผมได้รับการประสานจากคุณสรรณ์ญา  กระสังข์  ให้มาร่วมเวทีการเขียนรายงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น  ที่บ้านห้วยยาง  อำเภอห้วยทับทัน  จังหวัดศรีสะเกษ  ระหว่างวันที่  9 – 11  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2561  งานนี้ผมได้โจทย์จากผู้ประสานงานก็คือ  ให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดบทเพลงเสียงจากคีตาญชลี  โดยพาพี่น้องที่เข้าร่วมอบรมร้องเพลงนี้ให้ได้ในระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันสามวัน  ผมจำได้ว่าเคยร้องเพลงนี้ครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2541  รู้สึกจะเป็นค่ายรามอีสานที่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาออกค่ายแถวบ้านของผม  จากนั้นก็ไม่เคยหยิบเพลงเสียงจากคีตาญชลีมาร้องเลย  ร่วม  20  ปีได้

เพลงเสียงจากคีตาญชลี  เกิดขึ้นในปี  พ.ศ. 2527  เป็นเพลงแนวเพื่อชีวิตของวงคีตาญชลี  ประกอบด้วยสมาชิกสองคน คือ สมศักดิ์ อิสมันยี (อ๊อด) และ สุรินทร์ อิสมันยี (ริน)  สองสามีภรรยาชาวเพชรบุรี เดิมใช้ชื่อว่า วง "สายทิพย์" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คีตาญชลี" ตามชื่อกวีนิพนธ์ของรพินทรนาถ ฐากูร กวีชาวอินเดีย  มีความหมายว่า "คารวะด้วยเสียงเพลง" ปัจจุบัน วงคีตาญชลีมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาคือบุตรสาวอีกสามคนร่วมเล่นดนตรี คือ อัญชลี อิสมันยี (น้ำ) บุตรสาวคนโตเล่นซอ  คนรอง วาทิตา อิสมันยี(ข้าว) และคนสุดท้อง ภารวี อิสมันยี(เกลือ) เล่นไวโอลิน  เสน่ห์ของเพลงเสียงจากคีตาญชลีนั้นอยู่ที่เนื้อร้องที่มีลักษณะสั้นๆ  การใช้คำที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา  มีการใช้ภาษาเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน  ยิ่งบรรเลงด้วยกีตาร์โปร่ง  ไวโอลีน  ซอและเปอร์คัทชั่น  ถือว่าลงตัวมากในแนวเพลงลักษณะนี้

บรรยากาศการร้องเพลงร่วมกันแบบไทบ้าน  ในลักษณะการนั่งล้อมวงกันก็เริ่มขึ้น  ผมเริ่มจากให้ทุกคนได้อ่านเนื้อร้องก่อนหนึ่งรอบ    มาเถิดพวกเรามาเหนือกลางใต้อีสาน  ฟังเพลงสำราญเสียงคีตาญชลี  ทิ้งความทุกข์สุขสมในฤดี  ฟังเสียงดนตรีเพื่อชีวีชื่นบาน  หากฉันเป็นนกจะร้องขับขาน  กล่อมดวงวิญญาณผู้กระหายสงคราม  ให้อยู่ด้วยความรักอยู่ด้วยความงดงาม  ในความละโลภโกรธหลง  หากฉันเป็นไม้จะทิ้งกิ่งลง   ปกคลุมแดดฝนแด่ผู้คนผ่านทาง  ให้อยู่ด้วยความรักอยู่ด้วยความงดงาม  ในความละโลภโกรธหลง  จากนั้นเสียงกีตาร์โปร่งของผมกับน้องต้อม และเสียงทัมมารินจากน้องตุ๊ (วงด่านช้าง)  ก็เริ่มดังขึ้น  ผมร้องให้พี่น้องฟังอยู่ประมาณสองรอบ  จากนั้นพี่น้องก็ร้องตามได้อย่างมีพลังน่าอัศจรรย์ใจ  ยิ่งท่อนที่ผู้หญิงร้องว่า  “หากฉันเป็นนกจะร้องขับขาน......กับท่อนที่ผู้ชายร้องว่า  หากฉันเป็นไม้จะทิ้งกิ่งลง.....” ที่เป็นการร้องแบบประสานกันต่างคนต่างร้องท่อนของตัวเอง  บอกได้เลยว่าเพราะมากๆๆ

เมื่อร้องเพลงจบลงคำถามจากวิทยากรกระบวนการก็เริ่มขึ้นว่า เราได้อะไรจากเพลงเสียงจากคีตาญชลีบ้าง?... เรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเพลงเสียงจากคีตาญชลี?  หลายๆคนได้ให้คำตอบที่หลากหลายตามมุมมองของแต่ละคน  ผมพอจับใจความสำคัญได้ว่า  เพลงเสียงเพลงจากคีตาญชลีนั้นเวลาร้องพร้อมกันหลายๆคนนั้นทำให้มันมีพลังบางอย่างที่ทุกคนสัมผัสได้  สื่อถึงการไม่ใช้ความรุนแรงให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความรักที่มีต่อกัน  และที่สำคัญสุดคือการรู้จักการละความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ตามคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
เสียงจากคีตาญชลีอีกหนึ่งบทเพลงที่มีความไพเราะและจรรโลงจิตใจของเราให้อ่อนโยน อย่างน้อยถ้าหากนำไปสู่การจัดการความโลภ  ความโกรธ  ความหลงของตัวเราเองได้ก็ถือว่าเป็นบุญของแต่ละคน  ลองขจัดสิ่งเหล่านนี้ออกจากตัวเราบ้างนะครับ  อยากเห็นทุกคนในมุมนี้บ้างครับ