วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรัก ความศรัทธา แซนโฎนตา...ไม่สิ้นมนต

“ความรัก  ความศรัทธา  แซนโฎนตา...ไม่สิ้นมนต์”
   โดย  : นุกูลกิจ  ทวีชาติ
เสน่ห์ชาวไทยเชื้อสายเขมรในเขตพื้นที่อีสานตอนใต้อย่างจังหวัดศรีสะเกษ  สุรินทร์  บุรีรัมย์  ยังคงมีวิถีชีวิตที่สืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามมาแต่โบราณอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความรักความศรัทธาและการบูชาที่มีต่อบรรพบุรุษผ่านวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน  แทบไม่น่าเชื่อว่าประเพณี  “แซนโฎนตา”  ของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเขมรจะยังคงถือปฏิบัติกันอยู่อย่างเคร่งครัด  ด้วยเหตุผลอันใดหรือมนต์เสน่ห์อะไรที่ทำให้ประเพณี  “แซนโฎนตา”  ยังคงอยู่คู่ชาวไทยเชื้อสายเขมรจวบจนถึงทุกวันนี้...ตามผมมาครับจะพาไปสัมผัสบรรยากาศนั้นเดี๋ยวนี้
ประเพณี “แซนโฎนตา” ของชาวไทยเชื้อสายเขมรนั้นเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมายาวนานนับพันปีก็ว่าได้ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ความรัก ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติรวมถึงชุมชน โดยจะประกอบพิธีกรรมตรงกับวันแรม14 ค่ำเดือน10 ของทุกปี  กล่าวคือเมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10  ลูกหลานเชื้อสายเขมรในจังหวัดศรีสะเกษ  สุรินทร์  บุรีรัมย์  ที่ไปทำงานหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกลต่างพร้อมใจกันเดินทางกลับมารวมญาติเพื่อทำพิธีแซนโฎนตาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันแทบไม่น่าเชื่อ   


จากคำบอกเล่าของพระครูสมศักดิ์  จกฺกวโร  เจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ  จังหวัดบุรีรัมย์  ท่านได้เล่าให้ฟังว่า  “ประเพณีแซนโฎนตานั้นเป็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีบรรพบุรุษ  โดยมีเค้ามาจากศาสนาพุทธที่เชื่อว่า เมื่อผู้ตายตายไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำดีจะได้ไปสวรรค์กับกลุ่มที่ทำชั่วทำบาปก็จะตกนรกเป็นสัตว์นรก ผี หรือเปรต  พวกเหล่านี้จะได้รับทัณฑ์ทรมานมากน้อยต่างกันออกไป  เมื่อถึงแรม 1 ค่ำเดือน 10 พระยายมจะอนุญาตให้ผีเหล่านี้เดินทางมาเยี่ยมลูกหลานได้ซึ่งผีเหล่านี้จะพักอยู่ที่วัดและคอยดูทางว่าลูกหลานของตนจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ตนบ้างหรือไม่  ถ้าลูกหลานมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผลบุญนี้พวกตนก็ได้รับและเมื่อได้อิ่มหนำสำราญก็จะพากันอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้ารอแล้วไม่เห็นลูกหลานมาทำบุญ ก็จะสาปแช่งลูกหลานไม่ให้มีความสุข ความเจริญ”   จากตำนานความเชื่อของชาวบ้านดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการแซนโฎนตา ก็คือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง   
นอกจากความเชื่อของประเพณีแซนโฎนตาที่พระครูสมศักดิ์ได้เล่าให้ฟังไปแล้วนั้นยังมีมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจอีกว่าความจริงแล้วประเพณีดังกล่าวมีมนต์เสน่ห์อะไร?  ภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษได้ฝากไว้กับประเพณีแซนโฎนตาซ่อนอะไรไว้ในนั้นบ้าง?   ลองมาฟังมุมมองของคุณยายอุ  ยวงรัมย์  อายุ 58  ปี  ชาวบ้านกระชาย  จังหวัดบุรีรัมย์  หนึ่งในชาวไทยเชื้อสายเขมรได้เล่าถึงประเพณีแซนโฎนตาได้อย่างน่าสนใจว่า  “นอกจากจะเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผีบรรพบุรุษแล้วยังเป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ การสร้างปฏิสัมพันธ์ ความรักความอบอุ่นของสมาชิกในครอบครัวเครือญาติ ตลอดถึงการสร้างความสามัคคีของคนในชุมชน”  คำว่า"แซนโฏนตา"มาจากไหนหรือ?   คุณยายอุ... เล่าว่า แซน หมายถึงการเซ่นไหว้ การบวงสรวง  โฎน หมายถึง ยาย หรือย่าและคำว่าตา หมายถึงตา หรือ ปู่  แซนโฏนตาจึงหมายถึงการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ  ยาย  ย่า ตาและปู่ ที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง


สำหรับสถานที่และการเตรียมอุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้นั้นคุณยายอุ...จำได้อย่างแม่นยำเพราะเคยปฏิบัติมาเป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว  ได้แก่  การเซ่นไหว้ศาลปู่ตาประจำหมู่บ้าน  การเซ่นไหว้ศาลพระภูมิประจำบ้าน  การประกอบพิธีกรรมแซนโฎนตาที่บ้านซึ่งลูกหลานจะมารวมกันทั้งหมด การประกอบพิธีกรรมบายเบ็ญและการประกอบพิธีกรรมที่วัด  ส่วนเครื่องเซ่นไหว้นั้นประกอบด้วยอาหารคาว หวาน ผลไม้ เครื่องดื่ม  อาหารคาวได้แก่ ปลานึ่ง ปลาย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง แกง วุ้นเส้น แกงกล้วย ต้มยำไก่ ลาบหมู ไก่นึ่งซึ่งต้องเป็นไก่ทั้งตัวเอาเครื่องในออก อาหารหวาน ได้แก่ ข้าวต้มมัดใบมะพร้าว ขนมเทียน ขนมนางเล็ด ขนมดอกบัว ขนมโกรด ข้าวกระยาสารท ผลไม้ ได้แก่ มะพร้าวอ่อน กล้วย ส้ม ละมุด พุทรา องุ่น เป็นต้น เครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำเปล่า เหล้าขาว น้ำอัดลม เหล้าสีต่างๆเป็นต้น อุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ เสื่อหวาย ที่นอนแบบพับ หมอน ผ้าขาว ผ้าไหม ผ้าโสร่ง อาภรณ์ต่าง ๆ พาน ธูป เทียน กรวย 5 ช่อ ที่ทำจากใบตองสดม้วนเป็นกรวย แล้วสอดด้วย ธูป และใบกรุย  การจัดกรวย5ช่อคือ ขันธ์ 5 หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เห็นหรือยังครับว่าประเพณีแซนโฎนตานั้นมีความเป็นมายาวนานและมีการสืบทอดต่อ ๆ กันมา  โดยการวางรากฐานของประเพณีให้เกิดแนวทางในการที่จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้องให้ได้รับผลบุญกุศลที่อุทิศไปซึ่งเชื่อว่าถ้าในยุคของตนเองได้แซนโฎนตาให้แก่ ผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ไปแล้ว รุ่นลูกจะต้องแซนโฎนตาให้ตนเหมือนกัน เพื่อให้ลูกหลานต้องปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันไปไม่สิ้นสุด  


ความรักความศรัทธาและมนต์เสน่ห์ของประเพณีนี้มีความเชื่อลึกๆว่า  ถ้าญาติหรือลูกหลานได้ประกอบพิธีแซนโฎนตาและทำบุญอุทิศให้ผีบรรพบุรุษก็จะอวยพรให้ญาติหรือลูกหลานมีความสุขความเจริญ ประกอบอาชีพประสบผลสำเร็จมีเงินมีทองใช้  แต่ถ้าไม่ทำพิธีแซนโฎนตาผีบรรพบุรุษก็จะโกรธและสาปแช่งญาติหรือลูกหลานไม่ให้มีความสุขความเจริญ ประกอบอาชีพฝืดเคือง ไม่ราบรื่น ดังนั้นลูกหลานชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกคนทุกรุ่นจึงต้องมาประกอบพิธีแซนโฎนตา ตราบจนเท่าทุกวันนี้.....ไม่สิ้นมนต์จริงๆ....สาธุ


วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เดินตามรอยพ่อ...ที่พอเพียง

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...ครับ
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
" หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม
ข้าว หอม กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ
เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี "
               นี่คือคำขวัญประจำจังหวัดศรีสะเกษของเราที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้  ทราบกันหรือเปล่าครับว่าจังหวัดของเรามีการเปลี่ยนคำขวัญประจำจังหวัดมาแล้ว  ครั้ง ในการประกาศใช้คำขวัญครั้งแรกของจังหวัดศรีสะเกษเริ่มขึ้นเมื่อปี  พ.ศ. 2530  โดยผู้ที่คิดค้นคำขวัญคือ  นายประเมธ  เพราะพินิจ  หัวหน้าศูนย์ข่าวเดลินิวส์อีสานตอนล่าง  ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นป. 6   เท่าที่จำได้สมัยนั้นคุณครูจะพาท่องคำขวัญประจำจังหวัดจนติดปากว่า “ศรีสะเกษ  แดนปราสาทขอม  หอมกระเทียมดี  มีสวนสมเด็จ  เขตดงลำดวน  หลากล้วนวัฒนธรรม  เลิศล้ำสามัคคี” 
ตามความเข้าใจของเด็กๆสมัยนั้นที่เคยท่องวันละสองเวลาเช้า – เย็น  จนติดปากไม่ต่างกันกับนกแก้วนกขุนทองที่จำเสียงเลียนแบบของคน  ซึ่งก็พอที่จะเข้าใจได้ว่าจังหวัดศรีสะเกษของตนเองนั้นคงเป็นดินแดนที่มีปราสาทเก่าแก่ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก  จังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นเมืองเกษตรกรรมทั้งยังมีการปลูกหอม กระเทียมจำนวนมาก โดยเฉพาะหอมแดงจากบ้านลิ้นฟ้า ขึ้นชื่อไปทั่วโลกถือได้ว่าจังหวัดเรามีหอมแดงมีกระเทียมมากกว่าจังหวัดอื่นๆในประเทศนี้  จังหวัดศรีสะเกษนั้นมีสวนสมเด็จพระศรีนคริทนร์ที่มีต้นลำดวนสามหมื่นกว่าต้นพร้อมทั้งกลิ่นหอมอบอวล ยามออกดอกในช่วงหน้าแล้งและยังมีงานดอกลำดวนบานที่เป็นที่กล่าวขานไปทั่วถิ่นแดนไทย  จังหวัดศรีสะเกษนั้นมีวัฒนธรรมที่หลากหลายเพราะมีชนเผ่าที่มาตั้งถิ่ฐานที่ศรีสะเกษกว่า 4 เผ่า ทั้งกูย เขมร ลาว เญอ อันเป็นที่มาของวัฒนธรรมที่หลากหลายและงดงาม  จังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นจังหวัดที่มีความรักสมัครสมานสามัครคีกัน  นั่นคือที่มาของคำขวัญประจำจังหวัดเดิม
 ล่าสุดของการเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำจังหวัดศรีสะเกษและใช้มาจนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นใน วันนี้ 1 ต.ค. พ.ศ.2553  โดย นายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพพงศ์ ผวจ.ศรีสะเกษ ในขณะนั้น  ได้ออกประกาศเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำ จ.ศรีสะเกษ จากเดิม ศรีสะเกษแดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคีเป็น หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม ข้าว หอม กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี โดยนายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพพงศ์ ให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำจังหวัดว่า คำขวัญฯที่ใช้อยู่เดิมยังไม่สามารถแสดงออกได้ถึงความเป็นอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ จึงได้มีโครงการคัดเลือกคำขวัญฯ จนได้คำขวัญฯใหม่ที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้เพิ่มเอาพระคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวศรีสะเกษให้ความเคารพนับถือนั่นคือหลวงพ่อโตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจียงอีศรีมงคลวรารามเข้ามาโดยใช้คำว่า “หลวงพ่อโตคู่บ้าน” และจากคำว่า “ แดนปราสาทขอม”  ก็เปลี่ยนมาเป็น “ถิ่นฐานปราสาทขอม”  ด้วยเหตุผลอะไรนั้นหลายท่านคงทราบดี
นอกจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วความเป็นจังหวัดศรีสะเกษในอดีตกับปัจจุบันนั้นแตกต่างกันจนสิ้นเชิงในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม  สิ่งแวดล้อม  วัฒนธรรม  ฯลฯ  ผลพวงที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากการพัฒนาเพื่อความเจริญซึ่งชัดเจนที่สุดก็เริ่มจากช่วงที่ประเทศไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ฉบับที่ในราวปี พ.ศ. 2504  หรือ  54  ปีมานี่เอง  หลังจากนั้นมาเชื่อไหมครับคำว่า “เพื่อความเจริญ”  คำเดียวสามารถทำให้อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ราวฟ้ากับดิน  ที่พูดอย่างนี้เพราะว่าผมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ใช้คำว่าเพื่อความเจริญมาพอสมควร  เช่น  ด้านการคมนาคมสะดวกขึ้น  สังคมเมืองขยายขึ้นมีตึกเกิดขึ้นมากมาย  ห้างสรรพสินค้าที่เคยได้ยินชื่อในเมืองใหญ่ๆก็คืบคลานเข้ามาตั้งฐานในบ้านเรา  นี่คือภาพของคำว่าเพื่อความเจริญในบางส่วนที่เกิดขึ้นและคิดว่าเป็นแนวทางการพัฒนาที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวศรีสะเกษดีขึ้นและอยู่ได้แบบมีความสุขอย่างยั่งยืนในทุกมิติซึ่งความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  ภาพของประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากเดิมหรือลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนปรารถนาหรืออยากให้เป็นแบบนั้นหรอกคงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับแต่....  “ผมอยากเห็นจังหวัดศรีสะเกษในมุมนี้บ้างๆๆๆ......”
                ผมได้เห็นข้อมูลเศรษฐกิจของจังหวัดเมื่อประมาณ  ปีที่ผ่านมาผ่านทางเว็ปไซด์https://th.wikipedia.org/wiki และเห็นชัดเจนว่าโครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ 3 อันดับแรกขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร ภาคการขายส่งขายปลีก และภาคการศึกษา เป็นสำคัญ โดยในปี พ.ศ. 2553 มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) เป็น 12,622 ล้านบาท, 12,525 ล้านบาท และ 8,731 ล้านบาท ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งสิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 55,643 ล้านบาท ประชากรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 36,142 บาท/คน/ปี   ถ้ามองจากตัวเลขข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่ามันน่าภาคภูมิใจแทนคนทั้งจังหวัดเราจริงๆ 
มุมที่น่าสนใจและอยากเห็นอยู่ตรงนี้ครับ  ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดเราประกอบอาชีพด้านการเกษตรกรรม การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการประกอบอาชีพดังกล่าวจึงเป็นทางรอดและทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ ซึ่งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถนำมาปรับใช้นั้นเป็นคำที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ  “ทฤษฎีใหม่”

ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตรให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนซึ่งจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงที่เกษตรกร มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย
๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร
๒. ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด
๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต
- ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช
- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน
- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน
ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าให้มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน   เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อนในประเด็นนี้   ให้มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปีและให้มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอนได้แก่  
ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น ให้เกษตรกรแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนที่หนึ่งประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ  พื้นที่ส่วนที่สองประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้  พื้นที่ส่วนที่สามประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย  พื้นที่ส่วนที่สี่ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง  คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้านการผลิต  เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิตโดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน   การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย   การจัดหาน้ำ และอื่นๆเพื่อการเพาะปลูก  ด้านการตลาดเมื่อมีผลผลิตแล้วจะต้องเตรียมการต่างๆเพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด  เช่น  การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว   เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย   ด้านการเป็นอยู่ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต  เช่น  อาหารการกินต่างๆที่พอเพียง   ด้านสวัสดิการแต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น  เช่น  มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆของชุมชน   ด้านการศึกษาชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา  เช่น  มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง  ด้านสังคมและศาสนาชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจโดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม  เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้วเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไปคือ  ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต  ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ  เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)  ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น  จะเห็นได้ว่าบันไดสามขั้นของทฤษฎีใหม่นั้นเป็นการก้าวเดินของเกษตรกรอย่างรู้จักพอประมาณมีภูมิต้านทานและมีเหตุผล
ถ้าจะถามว่าหลักการและแนวทางสำคัญของทฤษฎีใหม่นั้นเป็นอย่างไร?  คำตอบก็คือเป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ ลงแขกแบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วยเนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียงด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่โดยประมาณ   ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี


หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วยนาข้าว ๕ ไร่  พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่  สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง  ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่  รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่ แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมดังนี้  ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี  ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ
การมีสระน้ำดีอย่างไรหรือ?  การมีสระเก็บน้ำนั้นก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้นให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี
การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ  ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบได้  ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)  ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)  อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน  ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง 
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่นั้นก็เพื่อให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง  ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน  ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
ด้วยความสำคัญดังกล่าวและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเกษตรกรที่ตรงจุดผมอยากเห็นเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษมีมุมนี้บ้าง...มุมที่มีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม   เริ่มจากการนำร่องหมู่บ้านละหนึ่งครัวเรือนโดยทุกภาคส่วนระดมทรัพยากรช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันจนสำเร็จ  ผมถามว่าจังหวัดเราจะเกิดปรากฏการอะไรขึ้นถ้าเราทำได้จริง  นี่คือทางออกและมุมที่อยากเห็นจังหวัดศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง ...ครับ



                

เพลงพลังแห่งรักมาจากแห่งหนใดตำบลใด?

เพลงพลังแห่งรักมาจากแห่งหนใดตำบลใด?
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
“เรานั้นเป็นเยาวชนรุ่นใหม่  ที่มีหัวใจรักและศรัทธา
เรารักแผ่นดินเกิด  เราจึงพัฒนา  ทุ่มเทกายาให้กับมวลชน...”
พลังเสียงใสๆของเยาวชนวัยหนุ่มสาวกว่า  400  ชีวิต  ร่วมกันเปล่งเสียงร้องเพลงออกมาได้อย่างมีพลังและได้อรรถรสความไพเราะของน้ำเสียงอันบริสุทธิ์  ในเทศกาลแห่งการเรียนรู้  พลังคุณค่า  เยาวชน  พลเมือง  ศรีสะเกษ  “เติมพลัง  เสริมคุณค่า  สร้างสำนึกพลเมืองใหม่  เพื่อการพัฒนาสังคม  ชุมชนท้องถิ่นศรีสะเกษ”  วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม  2558  ณ  โรงแรมศรีลำดวนจังหวัดศรีสะเกษ  โดยศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสีสะเกษ  ในการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน).... 

เวทีแห่งนี้เปิดโอกาสให้กับผมในฐานะคนรักดนตรีคนรักการเขียนเพลงอย่างผมมากและปฏิเสธไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง  เมื่อได้รับการประสานงานทางโทรศัพท์จากคุณสรรณ์ญา  กระสังข์  (พัฒนากรอำเภอปรางค์กู่)  หนึ่งในคณะกรรมการจัดงานครั้งนี้บอกให้ผมแต่งเพลงขึ้นมา  เพลง  เพื่อให้เด็กๆเยาวชนได้ร้องในค่ายแห่งนี้ซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีก 5 วันข้างหน้านี้  โดยมีประเด็นในการเขียนเพลงสั้นๆว่าจะต้องเป็นเพลงที่เกี่ยวกับเยาวชน....เกี่ยวกับพลัง...เกี่ยวกับการพัฒนา...เชื่อไหมว่าผมนอนตีโจทย์ในการเขียนเพลงนี้อยู่หนึ่งคืนเต็มๆ  ซึ่งข้อมูลที่พอมีอยู่ในมือบ้างก็คือโครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ  ที่คุณสรรณ์ญา  กระสังข์  ส่งมาให้ดู  พอได้ข้อมูลเท่านั้นแหล่ะผมก็หยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาเล่นเพื่อหาทางเดินของคอร์ด  ต่อด้วยการฮัม...ทำนองเพลง  ไม่นานนักเนื้อร้องวรรคแรกก็ตามมาติดๆ  “โลกมองดูสดใส  ก็เพราะมีวัยของเรา”  ซึ่งโจทย์ของผมที่แล่นอยู่ในสมองขณะนั้นก็คือ จะต้องเป็นเพลงที่ไม่ยาวเกินไป  เด็กต้องร้องได้ในเวลาอันสั้น  จะต้องหาคำร้องและทำนองที่ง่ายๆฟังสบายๆ  ผมใช้เวลาเขียนเพลงนี้อยู่  3 วันเต็มๆ แล้วก็ออกมาแบบนี้  ผมตั้งชื่อเพลงนี้ว่า  พลังแห่งรัก

เพลงพลังแห่งรัก
คำร้อง / ทำนอง :นุกูลกิจ  ทวีชาติ
โลกมองดูสดใส  ก็เพราะมีวัยของเรา  มองทางไหนมีแต่หนุ่มสาว  เรานั้นมีพลัง
มาช่วยกันเติมสีสัน  วาดความฝันตามจินตนาการ  พลังรักแท้พลังสร้างงาน  พลังของเยาวชน
*   เรานั้นเป็นเยาวชนรุ่นใหม่  ที่มีหัวใจรักและศรัทธา 
เรารักแผ่นดินเกิด  เราจึงพัฒนา  ทุ่มเทกายาให้กับมวลชน
เยาวชนหนุ่มสาว  หนักเบาจะเดินด้วยกัน  ฝ่าลมฝนพายุกระหน่ำ  ไม่ทำให้เราเปลี่ยนใจ
เราสร้างด้วยแรงแห่งรัก  เราฟูมฟักด้วยใจของเรา  มือน้อยๆรวมกันเข้า  กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ 
               มีหลายคนถามผมอยู่เหมือนกันว่าเพลงพลังแห่งรักที่ผมเขียนขึ้นมานี้ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน?  “ผมมีความเชื่อเล็กๆในใจอยู่ว่า...เด็กเยาวชนคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้น่ะเขามีพลังอยู่ในตัวของเขามหาศาล  เขาพร้อมจะทำอะไรที่ดีๆให้กับสังคมอยู่แล้ว  ขอเพียงแค่มีผู้ใหญ่ที่ดีๆสักคนคอยแนะนำการก้าวเดินของเขาเพราะในบางครั้งเขายังมองตัวเองยังไม่ออก.....  เพลงพลังแห่งรักจึงพยายามใช้คำพูดเพื่อที่จะบอกเขาว่าเราคือเยาวชนหนุ่มสาวนะ  เรามีพลังนะ  โลกต้องการพวกเรามาช่วยกันสร้างสิ่งดีๆอยู่นะ  อย่างเช่นท่อนแรกที่ผมบอกว่า... โลกมองดูสดใสก็เพราะมีวัยของเรา  มองทางไหนมีแต่หนุ่มสาว  เรานั้นมีพลัง... ผมพยายามที่จะสื่อกับเยาวชนว่าเขานั้นมีความสำคัญแค่ไหน  ซึ่งการให้ความสำคัญกับเขาต้องมาก่อนเป็นลำดับต้นๆ  พอมาถึงท่อนแยกของเพลงนี้...  เรานั้นเป็นเยาวชนรุ่นใหม่  ที่มีหัวใจรักและศรัทธา  เรารักแผ่นดินเกิด  เราจึงพัฒนา  ทุ่มเทกายาให้กับมวลชน...ผมสื่อให้เขารู้ว่าเยาวชนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาจะต้องทำอะไรบ้าง  และมาปิดท้ายที่คำว่า...มือน้อยๆรวมกันเข้า  กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ... บอกไปตรงๆเลยว่าเขาต้องรักกันสามัคคีกันบ้านเมืองถึงจะอยู่ได้
               ผมแอบกระซิบถาม  น.ส.สุวรรณา ศิลากุล นักเรียนชั้น ม.โรงเรียนกลันทาพิทยาคม        จ.บุรีรัมย์  ที่เป็นคนถ่ายทอดเพลงนี้ร่วมกันกับผมว่ามีความรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อได้ร้องเพลงพลังแห่งรัก  น.ส.สุวรรณา  ศิลากุล  บอกว่า  “ได้พลังรักจากบทเพลงค่ะ ได้ทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่าตนเองมีบทบาทต่อสังคมมากขึ้น  เชิญชวนให้เยาวชนรุ่นใหม่ ใส่ใจต่อหน้าที่ ต่อสังคม ให้เยาวชนมีความรักแผ่นดินเกิดของตนเองมากขึ้นค่ะ”  พลังแห่งรัก เป็นแค่บทเพลงเล็กๆเพลงหนึ่งที่วงน้ำใจ  ซึ่งประกอบด้วยครูเพิ่ม ครูตุ๋ง พี่นึก  พี่แม็กกี้  และพี่ทิพย์  ตั้งใจทำและมอบให้กับน้องๆเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษ  หวังอย่างแรงกล้าว่าพลังเยาวชนกว่า 400  ชีวิต  จะต้องลุกโชนสืบสานตำนานคนดีพัฒนาเมืองศรีสะเกษต่อไป  วงน้ำใจขอเป็นฟันเฟืองเล็กๆคอยขับเคลื่อนวงล้อการพัฒนาไปด้วยกันนะ....เยาวชนหนุ่มสาวเอ้ย......ติดตามเพลงพลังแห่งแห่งรักได้ที่นี่ครับhttps://www.facebook.com/permpoolsub