อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...ครับ
โดย...นุกูลกิจ ทวีชาติ
"
หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม
ข้าว หอม
กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ
เขตดงลำดวน
หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี "
นี่คือคำขวัญประจำจังหวัดศรีสะเกษของเราที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ทราบกันหรือเปล่าครับว่าจังหวัดของเรามีการเปลี่ยนคำขวัญประจำจังหวัดมาแล้ว 2 ครั้ง ในการประกาศใช้คำขวัญครั้งแรกของจังหวัดศรีสะเกษเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยผู้ที่คิดค้นคำขวัญคือ นายประเมธ
เพราะพินิจ หัวหน้าศูนย์ข่าวเดลินิวส์อีสานตอนล่าง ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นป. 6 เท่าที่จำได้สมัยนั้นคุณครูจะพาท่องคำขวัญประจำจังหวัดจนติดปากว่า
“ศรีสะเกษ แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี
มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี”
ตามความเข้าใจของเด็กๆสมัยนั้นที่เคยท่องวันละสองเวลาเช้า
– เย็น จนติดปากไม่ต่างกันกับนกแก้วนกขุนทองที่จำเสียงเลียนแบบของคน ซึ่งก็พอที่จะเข้าใจได้ว่าจังหวัดศรีสะเกษของตนเองนั้นคงเป็นดินแดนที่มีปราสาทเก่าแก่ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก จังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นเมืองเกษตรกรรมทั้งยังมีการปลูกหอม
กระเทียมจำนวนมาก โดยเฉพาะหอมแดงจากบ้านลิ้นฟ้า ขึ้นชื่อไปทั่วโลกถือได้ว่าจังหวัดเรามีหอมแดงมีกระเทียมมากกว่าจังหวัดอื่นๆในประเทศนี้ จังหวัดศรีสะเกษนั้นมีสวนสมเด็จพระศรีนคริทนร์ที่มีต้นลำดวนสามหมื่นกว่าต้นพร้อมทั้งกลิ่นหอมอบอวล
ยามออกดอกในช่วงหน้าแล้งและยังมีงานดอกลำดวนบานที่เป็นที่กล่าวขานไปทั่วถิ่นแดนไทย จังหวัดศรีสะเกษนั้นมีวัฒนธรรมที่หลากหลายเพราะมีชนเผ่าที่มาตั้งถิ่ฐานที่ศรีสะเกษกว่า
4 เผ่า ทั้งกูย เขมร ลาว เญอ อันเป็นที่มาของวัฒนธรรมที่หลากหลายและงดงาม จังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นจังหวัดที่มีความรักสมัครสมานสามัครคีกัน นั่นคือที่มาของคำขวัญประจำจังหวัดเดิม
ล่าสุดของการเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำจังหวัดศรีสะเกษและใช้มาจนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นใน
วันนี้ 1 ต.ค. พ.ศ.2553 โดย นายกองเอก วิลาศ
รุจิวัฒนพพงศ์ ผวจ.ศรีสะเกษ ในขณะนั้น ได้ออกประกาศเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำ
จ.ศรีสะเกษ จากเดิม “ศรีสะเกษแดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี
มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี” เป็น
“หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม ข้าว หอม กระเทียมดี
มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี” โดยนายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพพงศ์ ให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำจังหวัดว่า
คำขวัญฯที่ใช้อยู่เดิมยังไม่สามารถแสดงออกได้ถึงความเป็นอัตลักษณ์
และเอกลักษณ์ได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ จึงได้มีโครงการคัดเลือกคำขวัญฯ
จนได้คำขวัญฯใหม่ที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้เพิ่มเอาพระคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวศรีสะเกษให้ความเคารพนับถือนั่นคือหลวงพ่อโตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจียงอีศรีมงคลวรารามเข้ามาโดยใช้คำว่า
“หลวงพ่อโตคู่บ้าน” และจากคำว่า “ แดนปราสาทขอม”
ก็เปลี่ยนมาเป็น “ถิ่นฐานปราสาทขอม”
ด้วยเหตุผลอะไรนั้นหลายท่านคงทราบดี
นอกจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วความเป็นจังหวัดศรีสะเกษในอดีตกับปัจจุบันนั้นแตกต่างกันจนสิ้นเชิงในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ฯลฯ
ผลพวงที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากการพัฒนาเพื่อความเจริญซึ่งชัดเจนที่สุดก็เริ่มจากช่วงที่ประเทศไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่1 ในราวปี พ.ศ. 2504 หรือ 54 ปีมานี่เอง หลังจากนั้นมาเชื่อไหมครับคำว่า
“เพื่อความเจริญ” คำเดียวสามารถทำให้อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ราวฟ้ากับดิน
ที่พูดอย่างนี้เพราะว่าผมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ใช้คำว่าเพื่อความเจริญมาพอสมควร เช่น ด้านการคมนาคมสะดวกขึ้น สังคมเมืองขยายขึ้นมีตึกเกิดขึ้นมากมาย
ห้างสรรพสินค้าที่เคยได้ยินชื่อในเมืองใหญ่ๆก็คืบคลานเข้ามาตั้งฐานในบ้านเรา นี่คือภาพของคำว่าเพื่อความเจริญในบางส่วนที่เกิดขึ้นและคิดว่าเป็นแนวทางการพัฒนาที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวศรีสะเกษดีขึ้นและอยู่ได้แบบมีความสุขอย่างยั่งยืนในทุกมิติซึ่งความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ภาพของประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากเดิมหรือลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนปรารถนาหรืออยากให้เป็นแบบนั้นหรอกคงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับแต่.... “ผมอยากเห็นจังหวัดศรีสะเกษในมุมนี้บ้างๆๆๆ......”
ผมได้เห็นข้อมูลเศรษฐกิจของจังหวัดเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาผ่านทางเว็ปไซด์https://th.wikipedia.org/wiki และเห็นชัดเจนว่าโครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ 3
อันดับแรกขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร ภาคการขายส่งขายปลีก และภาคการศึกษา เป็นสำคัญ
โดยในปี พ.ศ. 2553 มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) เป็น
12,622 ล้านบาท, 12,525 ล้านบาท และ 8,731 ล้านบาท ตามลำดับ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งสิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 55,643 ล้านบาท ประชากรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น
36,142 บาท/คน/ปี ถ้ามองจากตัวเลขข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่ามันน่าภาคภูมิใจแทนคนทั้งจังหวัดเราจริงๆ
มุมที่น่าสนใจและอยากเห็นอยู่ตรงนี้ครับ ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดเราประกอบอาชีพด้านการเกษตรกรรม
การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการประกอบอาชีพดังกล่าวจึงเป็นทางรอดและทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้
ซึ่งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถนำมาปรับใช้นั้นเป็นคำที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ “ทฤษฎีใหม่”
ทฤษฎีใหม่ คือ
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตรให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต
โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนซึ่งจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงที่เกษตรกร
มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย
๑.
ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร
๒.
ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ
ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ
และโรคระบาด
๕.
ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต
-
ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช
-
ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน
-
ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน
ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ
เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าให้มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน
เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อนในประเด็นนี้
ให้มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปีและให้มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย
โดยมีถึง ๓ ขั้นตอนได้แก่
ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น ให้เกษตรกรแบ่งพื้นที่ออกเป็น
๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนที่หนึ่งประมาณ ๓๐%
ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง
ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ พื้นที่ส่วนที่สองประมาณ ๓๐%
ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี
เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สามประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก
พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย พื้นที่ส่วนที่สี่ประมาณ ๑๐%
เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว
ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์
ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้านการผลิต เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิตโดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน
การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆเพื่อการเพาะปลูก ด้านการตลาดเมื่อมีผลผลิตแล้วจะต้องเตรียมการต่างๆเพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว
เตรียมหาเครื่องสีข้าว
ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย ด้านการเป็นอยู่ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร
โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆที่พอเพียง ด้านสวัสดิการแต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น
เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆของชุมชน
ด้านการศึกษาชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา
เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง ด้านสังคมและศาสนาชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจโดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้วเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไปคือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน
เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
กล่าวคือ เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง
(ไม่ถูกกดราคา) ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ
(ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ
เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร
เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าบันไดสามขั้นของทฤษฎีใหม่นั้นเป็นการก้าวเดินของเกษตรกรอย่างรู้จักพอประมาณมีภูมิต้านทานและมีเหตุผล
ถ้าจะถามว่าหลักการและแนวทางสำคัญของทฤษฎีใหม่นั้นเป็นอย่างไร? คำตอบก็คือเป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน
ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี
ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก”
แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วยเนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค
ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี
โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง
หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียงด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ
โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า
ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่โดยประมาณ
ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่
หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐
ลูกบาศก์เมตรต่อปี

หากตั้งสมมติฐานว่า
มีพื้นที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วยนาข้าว ๕ ไร่ พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่ สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐
ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่ รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่ แต่ทั้งนี้
ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมดังนี้ ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน
สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป
ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน
สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม
เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ
การมีสระน้ำดีอย่างไรหรือ? การมีสระเก็บน้ำนั้นก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี
(ทรงเรียกว่า Regulator
หมายถึงการควบคุมให้ดี
มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า
เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ
ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน
ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง
หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้นให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด
โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ
ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี
การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ
๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้
ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา
ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย)
บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบได้ ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา ร้อยละ ๓๐
ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน
ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น) ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง
ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ
พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น) อย่างไรก็ตาม
อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น
สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน
ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ
ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น
เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ
ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ
เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน ในระหว่างการขุดสระน้ำ
จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี
ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง
โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ
หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่นั้นก็เพื่อให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด
ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย
ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้
โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ
ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
ด้วยความสำคัญดังกล่าวและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเกษตรกรที่ตรงจุดผมอยากเห็นเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษมีมุมนี้บ้าง...มุมที่มีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
เริ่มจากการนำร่องหมู่บ้านละหนึ่งครัวเรือนโดยทุกภาคส่วนระดมทรัพยากรช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันจนสำเร็จ ผมถามว่าจังหวัดเราจะเกิดปรากฏการอะไรขึ้นถ้าเราทำได้จริง นี่คือทางออกและมุมที่อยากเห็นจังหวัดศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง
...ครับ