วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง (ตอนจดหมายถึงพ่อ)

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง  (ตอน...จดหมายถึงพ่อ)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                ครอบครัวเป็นสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย  เพราะสถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของการหล่อหลอมและบ่มเพาะชีวิต  เมื่อสถาบันครอบครัวมีความมั่นคง  ภูมิต้านทานด้านต่างๆก็จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวนั้นๆ  จะเห็นได้จากครอบครัวที่มีความอบอุ่นซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกที่อาศัยอยู่ด้วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  ปัญหาต่างๆจะไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าใดนัก  ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันหรือไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า  ปัญหาย่อมมีให้เห็นตามมาไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นลูก

จดหมายถึงพ่อเป็นบทเพลงหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาของชีวิตและการอยู่ห่างไกลกันระหว่างพ่อแม่และลูก  ซึ่งเพลงนี้แต่งคำร้องและขับร้องโดยคุณอิทธิพล  วาทะวัฒนะหรือที่รู้จักกันในนามอี๊ด  ฟุตปาธ ศิลปินที่โด่งดังจากการเล่นเพลงเปิดหมวกแถวสนามหลวงมาตั้งแต่ปี2527
 เพลงจดหายของพ่อในท่อนแรกนั้นได้กล่าวถึงความเหินห่าง  ความห่างไกลและสภาพของครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน  โดยคุณพ่อได้ไปทำงานอยู่ต่างถิ่นห่างไกลจากครอบครัว  ส่งผลกระทบก็คือลูกขาดความอบอุ่นเกิดความรู้สึกคิดถึงคุณพ่อของตัวเองขึ้นมา ดั่งเนื้อร้องที่ว่า...   “  อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน  ก้านมะละกอที่พ่อเคยหว่าน แยกปลูกไม่นาน ลูกโตน่าดู...” จากท่อนเพลงดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า  ลูกๆทุกคนนั้นต้องการความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ของตนเอง
                                                         
ท่อนที่สองของบทเพลงจดหมายถึงพ่อยิ่งตอกย้ำความคิดถึงของคนที่เป็นลูก  บ่งบอกถึงห้วงของระยะเวลาที่คุณพ่อได้จากบ้านไปนานๆ  จนสามารถมองเห็นภาพตามเพลงได้เลยว่าสิ่งที่พ่อเคยปลูกเคยสร้างไว้นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง  เช่น  กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู  ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมาลองจินตนาการตามแล้วกันว่าจากต้นกระดังงาเล็กๆแล้วเลื้อยขึ้นซุ้มประตูนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหน  คงไม่ต่างกันกับระยะเวลาที่คุณพ่อออกจากบ้านเพื่อไปทำงานในต่างถิ่นอันแสนไกล  ซึ่งผู้เป็นแม่นั้นก็คอยอธิบายให้ลูกๆของตัวเองได้เข้าใจว่าเหตุผลที่พ่อได้จากลูกๆไปนั้นเพราะเรื่องเศรษฐกิจเกี่ยวกับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว  ดั่งบทเพลงที่ร้องว่า  “แม่อธิบายที่พ่อไปทำงาน เพื่อเงินเพื่อบ้านและเพื่อลูกยา  จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า มีหน้ามีตาเหมือนดังใครๆ”   
                                                       

เพลงจดหมายถึงพ่อของอี๊ด  ฟุตปาธ  สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมอย่างหนึ่งคือ  ปัญหาเด็กๆที่ขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่อันเนื่องมาจากภาวะของเศรษฐกิจ  ความลำบาก ความยากจน  ทำให้ต้องไปใช้แรงงานในต่างถิ่น  แนวทางการแก้ปัญหาอีกช่องทางหนึ่งคือ  การส่งเสริมให้ชุมชนมีการสร้างงานสร้างรายได้อย่างเหมาะสมเพื่อลดปัญหาการอพยพแรงงานและสร้างสถาบันครอบครัวให้มีความรักความเข้มแข็งและอบอุ่น  วิธีการนี้คงจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้างเพราะเด็กๆเขาต้องการความรักความอบอุ่นในครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใด  เหมือนท่อนสุดท้ายของบทเพลงที่ร้องว่า  “ส่วนน้องหญิงยิ่งยามเย็นค่ำ อ้อนประจำเหตุผลไม่ฟัง  ไม่เอาบ้านโตไม่เอาทุกอย่าง จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว”  ช่วยกันนะครับ  อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง...

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี้บ้าง (น้ำตาอีสาน)

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี้บ้าง (น้ำตาอีสาน)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “ดิน..แยกแตกระแหงต้นไม้เฉาใบแรงไม่มี  ฝืนมองไร่นาน้ำตาปรี่ ไม่มีน้ำจะทำนา โถเวรบันดาล ให้ชาวอีสานสะอื้น กลืนกล้ำอุราไร่ปอแห้งตาย โอ้นายข้าโปรดเมตตาช่วยเหลือคนจน....”  บทเพลงน้ำตาอีสาน  จากปลายปากกาของครูเพลงชลธี  ธารทอง  ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(นักแต่งเพลงลูกทุ่ง)  ปี2542  ขับร้องโดยสายัณห์  สัญญา  ในอัลบั้มชุดที่ น้ำตาอีสาน  ดังแว่วมาจากหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน  ผมนั่งฟังเพลงนี้จนจบแล้วพยายามมองถึงภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่กับเนื้อหาของบทเพลงน้ำตาอีสาน  มันช่างสัมพันธ์กันอะไรได้ขนาดนี้  มีคำถามอยู่ว่าทำไมผมจึงต้องหยิบบทเพลงนี้ขึ้นมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ได้ฟังกันแล้วคนฟังจะได้อะไรจากบทเพลงนี้บ้าง? 

ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวกับฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง  มันช่างเข้ากับบรรยากาศเพลงน้ำตาอีสานจริงๆ  เพลงน้ำตาอีสานเป็นบทเพลงที่มีท่วงทำนองเศร้าน่าเห็นอกเห็นใจ  ท่อนแรกของเพลงจะกล่าวถึงบรรยากาศความแห้งแล้งของพื้นที่ภาคอีสานอย่างน่าหดหู่และน่าเห็นใจว่า  “ดิน..แยกแตกระแหงต้นไม้เฉาใบแรงไม่มี  ฝืนมองไร่นาน้ำตาปรี่ ไม่มีน้ำจะทำนา...”  นี่คือภาพที่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและบรรยากาศในฤดูแล้งของเขตพื้นที่อีสานไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว  ดินแห้งผาก  ต้นไม้เฉาแห้ง  ไม่มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค  


ท่อนที่สองของบทเพลงน้ำตาอีสานยังคงเล่าถึงสภาพปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกันกับท่อนแรกนั่นก็คือปัญหาน้ำท่วม  “เวรสาปบาปนำ  โอ้เวรซ้ำกระหน่ำกรรมอีกหน  น้ำนาป่ารวมท่วมปี้ป่น  บาปเบื้องบนหนุนซ้ำประดัง...”  น้ำท่วมถือว่าเป็นปัญหาที่ซ้ำซากเดิมๆ  เมื่อไหร่ที่มีฝนตกจะต้องเกิดปัญหาอุทกภัยตามมาตลอด  เช่น  น้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียหาย  น้ำท่วมที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเสียหาย  แนวทางการแก้ปัญหาที่เห็นจนชินตาในแต่ละฤดูกาลก็คือจะเห็นภาพของการระบายน้ำทิ้งเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นแบบนี้แทบทุกปีแล้วภาพต่างๆเหล่านั้นก็หายไปตามสายน้ำ


ชะตากรรมของชาวบ้านก็ยงคงแบกรับปัญหาอย่างนี้เรื่อยไปเหมือนดั่งเพลงน้ำตาอีสานท่อนสุดท้ายที่ว่า  “ทนอยู่สู้ชะตาเพื่อนพี่น้องไทยข้าโปรดปราณี  ขอเพียงข้าวเกลือช่วยเหลือที่  ไม่มีแล้วข้าวจะกิน...”  การบริหารจัดการกับปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืนนั้นถือเป็นวะระที่สำคัญมาก  มีคำถามอยู่ว่าเราจะทำอย่างไรปัญหาการแล้งซ้ำซากถึงจะหายไป?  เราจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้?     การกักเก็บน้ำในฤดูฝนให้ได้ปริมาณมากๆเพื่อนำไปใช้ในฤดูแล้งได้อย่างสมบูรณ์จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย  ผมอยากเห็นการบริหารจัดการความแห้งแล้งและการบริการจัดการน้ำของจังหวัดศรีสะเกษที่สมบูรณ์ยั่งยืนเป็นตัวอย่างของการศึกษาดูงานของคนทั่วประเทศครับ  อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี่บ้าง...ช่วยกันนะครับอย่าให้เป็นเหมือนเพลงน้ำตาอีสานเลยครับ