อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(แสงเทียนดับลง...คงไว้ซึ่งปรัชญา)
โดย นุกูลกิจ
ทวีชาติ
วันที่
13 เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 เวลา 15.25 น. น้ำตาของพสกนิกรชาวไทยหลั่งไหลและร่ำไห้กันทั้งแผ่นดิน
ด้วยพ่อที่ลูกๆให้ความจงรักภักดีได้เสด็จสวรรณคตสู่สวรรคาลัยแล้ว เสมือนดั่งเปลวเทียนที่เคยสว่างไสวเจิดจ้าให้แสงสว่างแก่ลูกๆของพระองค์ในการดำรงชีวิต มาบัดนี้ได้ดับลงอย่างสงบแล้ว นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจของพสกนิกรชาวไทยทุกหย่อมหญ้า เมื่อครั้งทราบข่าวการเสด็จสวรรณคตของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงไว้เป็นลำดับแรกนั่นคือบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน
“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร” บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน หรือ
Candlelight Blues เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙
ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ซึ่งถือเป็นงานทดลองของพระองค์ในเพลงจังหวะบลูส์
และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
นิพนธ์คำร้องภาษาไทยขึ้น
เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนองและคอร์ดบางตอนจึงยังไม่โปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้นำออกมา บรรเลงในเวลานั้น ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๙๐ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์ สดใส
พันธุมโกมล) ได้ประพันธ์คำร้องเป็นภาษาอังกฤษถวาย
โดยคำร้องภาษาอังกฤษมิได้แปลมาจากคำร้องภาษาไทย
หากแต่เขียนเกี่ยวกับผู้ที่สูญเสียคนรัก แต่ยังมีความคิดถึง ฝันถึงคนรัก
และรอวันที่จะหวนกลับมา
บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนมีคำร้องที่ทรงคุณค่าและแฝงไว้ซึ่งปรัชญาดังนี้ครับ
“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน
เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร้าร้อนแรงโรย หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป”
บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้
พระองค์ได้คงไว้ซึ่งสัจธรรมแห่งการดำเนินชีวิตของบุคคลอย่างมีคุณค่าที่สุดและสอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า
“ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้ก็เช่นกัน โดยบอกทุกคนว่าให้หมั่นทำบุญ
เพื่อบุญจะได้คุ้มไปชาติหน้า
เหมือนดั่งท่อนเพลงที่ว่า
"ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า....." การทำบุญทำทาน การทำความดี
การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่พ่อได้ฝากไว้ในบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนครับ อยากเห็นคนไทยทำดีถวายพ่อหลวง ช่วยกันทำดีนะครับเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลส่งดวงวิญญาณพ่อสู่สวรรณคาลัย....