วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แสงเทียนดับลง...คงไว้ซึ่งปรัชญา

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(แสงเทียนดับลง...คงไว้ซึ่งปรัชญา)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                วันที่ 13  เดือนตุลาคม  พ.ศ.2559  เวลา  15.25 น.  น้ำตาของพสกนิกรชาวไทยหลั่งไหลและร่ำไห้กันทั้งแผ่นดิน  ด้วยพ่อที่ลูกๆให้ความจงรักภักดีได้เสด็จสวรรณคตสู่สวรรคาลัยแล้ว  เสมือนดั่งเปลวเทียนที่เคยสว่างไสวเจิดจ้าให้แสงสว่างแก่ลูกๆของพระองค์ในการดำรงชีวิต  มาบัดนี้ได้ดับลงอย่างสงบแล้ว  นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจของพสกนิกรชาวไทยทุกหย่อมหญ้า  เมื่อครั้งทราบข่าวการเสด็จสวรรณคตของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงไว้เป็นลำดับแรกนั่นคือบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน

“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า  สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน  โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน  หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ  ต่างคนเกิดแล้วตายไป  ชดใช้เวรกรรมจากจร”  บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน หรือ  Candlelight Blues เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช  ซึ่งถือเป็นงานทดลองของพระองค์ในเพลงจังหวะบลูส์ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทยขึ้น
เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนองและคอร์ดบางตอนจึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมา บรรเลงในเวลานั้น  ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์ สดใส พันธุมโกมล) ได้ประพันธ์คำร้องเป็นภาษาอังกฤษถวาย  โดยคำร้องภาษาอังกฤษมิได้แปลมาจากคำร้องภาษาไทย หากแต่เขียนเกี่ยวกับผู้ที่สูญเสียคนรัก แต่ยังมีความคิดถึง ฝันถึงคนรัก และรอวันที่จะหวนกลับมา  บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนมีคำร้องที่ทรงคุณค่าและแฝงไว้ซึ่งปรัชญาดังนี้ครับ

“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า  สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน  หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ  ต่างคนเกิดแล้วตายไป  ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม  ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน  เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน     ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า  ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา  หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน  แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน
เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า  ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน  จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน  โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย  โรครุมเร้าร้อนแรงโรย  หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน  ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า  ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา  แสงเทียนบูชาจะดับพลัน  แสงเทียนบูชาดับลับไป”


บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้ พระองค์ได้คงไว้ซึ่งสัจธรรมแห่งการดำเนินชีวิตของบุคคลอย่างมีคุณค่าที่สุดและสอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้ก็เช่นกัน  โดยบอกทุกคนว่าให้หมั่นทำบุญ เพื่อบุญจะได้คุ้มไปชาติหน้า  เหมือนดั่งท่อนเพลงที่ว่า  "ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน  ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่  เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด  ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า....."  การทำบุญทำทาน  การทำความดี  การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท  เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่พ่อได้ฝากไว้ในบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนครับ  อยากเห็นคนไทยทำดีถวายพ่อหลวง  ช่วยกันทำดีนะครับเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลส่งดวงวิญญาณพ่อสู่สวรรณคาลัย....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น