“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง” (ตอน...เส้นทางเดินของชาวดิน)
โดย...นุกูลกิจ ทวีชาติ
บรรยากาศหลังฤดูกาลเก็บของชาวนาบ้านเราได้สิ้นสุดลงแล้วในช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี หลังจากนี้ไปคงต้องรออีกนานกว่าครึ่งปีเลยทีเดียวที่จะถึงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ถ้าจะถามว่าช่วงเวลาที่รอคอยฤดูกาลใหม่นั้นพี่น้องเขาทำอะไรกันบ้าง คงไม่สามารถจะเจาะจงไปได้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง
เพราะวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ผมรู้แค่เพียงว่าการอพยพแรงงานได้เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ
เสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ดังแว่วมาจากกระท่อมปลายนาของบัณฑิตนิค บุรุษผู้หลงใหลและรักในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองอย่างเป็นที่สุด ที่ผมกล่าวอย่างนี้เพราะว่าตั้งแต่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยในมหานครเขาก็กลับมาทำงานอยู่กับบ้านของตนเองมาตลอด ประเด็นนี้นี่เองที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่ไมล์ ภิรมย์พร
ได้ขับร้องไว้ในอัลบั้มชุดที่13 (กำลังใจในแววตา)
ความไพเราะของเพลงเหมาะสมกับฉายาของเขาที่ว่านักร้องขวัญใจแรงงานคนจนจริงๆ นั่นคือเพลงทางเดินชาวดิน ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย วสุ
ห้าวหาญ นักประพันธ์เพลงมือระดับต้นๆของประเทศไทย
ความไพเราะของเพลงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเพลงคือการนำเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานได้แก่ โหวดกับแคน มาเรียบเรียงเสียงประสานผสมผสานกับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างกลมกล่อมเป็นที่สุด เพลงทางเดินชาวดินมีเนื้อร้องที่เกี่ยวกับการถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนทิ้งถิ่นฐานของคนในชนบทบ้านเรา การต่อสู้ดิ้นรนของผู้ได้ถูกขนานนามว่า “แรงงาน”
ได้อย่างกินใจมากจริงๆ
นี่คือท่อนแรกของเพลงครับ “นาแล้งแห้งผาก ความชุ่มตีจากแผ่นดินอีสาน
ลมร้อนขับไล่ ผลักไหล่ดอกจาน
ให้จำลาก้านร่วงหล่นลงดิน ดั่งลูกอีสาน พลัดถิ่นฐานที่เคยทำกิน เข้ามาปลดเปลื้องหนี้สิน
หยาดเหงื่อหลั่งริน อยู่ในเมืองฟ้า” จากเนื้อหาในท่อนแรกเราจะเห็นถึงเหตุผลของการพลัดถิ่นฐานเข้ามาใช้แรงงานในเมืองกรุง
ด้วยสาเหตุหนี่งก็คือความแห้งแล้งของพื้นที่และปัญหาหนี้สิน
การหลั่งไหลของแรงงานจึงยังเกิดขึ้นในทุกฤดูกาล เกิดขึ้นในทุกสาขาอาชีพที่มีความมั่นคงน้อย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร เด็กที่เรียนดี หมอลำ
นักมวยหรือแม้แต่นางงาม
เหมือนเนื้อที่ร้องว่า “ จากเด็กเรียนดีแต่วันนี้เป็นกรรมกร
จากหมอลำชื่อเสียงกระฉ่อน
ต้องมาขับกลอนลำเดินขอทาน นักมวยเงินหมื่นวันนี้ทั้งคืนต้องยืนล้างจาน จากเป็นนางงามสงกรานต์สุดทางฝันเป็นสาวนั่งบาร์
” มันสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนอย่างนั้นจริงๆ
ผมมีมุมมองจากเพลงทางเดินชาวดินอยู่สองคำถามคือ หนึ่ง...
เวลา 8 ชั่วโมง ของการทำงานให้กับบริษัทหรือโรงงาน สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับคนอื่นนั้นมันคุ้มค่ากับหยาดเหงื่อแรงกายของเราหรือเปล่า? สอง...ถ้าเราใช้เวลา 8 ชั่วโมงเท่ากัน ทำงานบนพื้นดินของตนเองที่มีอยู่โดยใช้ความขยัน ประหยัด
อดทน อดออม ชีวิตเราจะเป็นเช่นไรบ้าง? สองคำถามนี้น่าสนใจนะ เพราะความสุขความมั่นคงของครอบครัวคือสิ่งที่มีความสำคัญ จากครอบครัวเล็กๆๆๆก็จะต่อยอดไปยังประเทศที่มีความสุขในลำดับต่อไป กลับมาอยู่บ้านเกิด มาสร้างความสุขด้วยกันนะครับ อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น