วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความ...สุดยอดเวทีการแสดงออกที่สร้างสรรค์


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  สุดยอดเวทีการแสดงออกที่สร้างสรรค์)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  อนุมัติในหลักการให้จัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน เป็นประจำทุกปี เพื่อให้ครูนักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะทางด้านวิชาการ  วิชาชีพ  ดนตรีนาฏศิลป์  ศิลปะ เห็นคุณค่าและเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย  รักและหวงแหนในมรดกทางวัฒนธรรมของไทย  เป็นการเปิดเวทีให้เด็กได้แสดงออกตามความสามารถของตนเองอย่างอิสระและสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์  รวมทั้งการใช้กิจกรรมเป็นสื่อเพื่อการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม เสริมสร้างวิถีประชาธิปไตยและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร

การสร้างหรือจัดเวทีให้เด็กนักเรียนได้แสดงออกในทางสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของประชากรซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต  เวทีสร้างสรรค์อย่างนี้ทำให้นักเรียนทุกคนได้โชว์ความสารถของตนเอง  ได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ  อย่างรอบด้าน  และที่สำคัญทำให้ผู้ใหญ่ได้มองเห็นถึงศักยภาพของเด็กไทยในอีกมิติหนึ่ง 
ผมมีโอกาสได้เยี่ยมชมในส่วนการจัดงานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งการจัดมหกรรมความสามารถทางศิลปหัตถกรรม  วิชาการและเทคโนโลยีของนักเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  (ระดับชาติ)  ครั้งที่  68  ในปีนี้  จัดขึ้นระหว่างวันที่  6 – 8  ธันวาคม  พ.ศ. 2561  ที่ผ่านมา  โดยปีนี้จังหวัดบุรีรัมย์ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ  ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการจัดมหกรรมความสามรถทางศิลปหัตถกรรม...ในส่วนภูมิภาคและยกระดับให้ถือเป็นการแข่งขันระดับชาติไปพร้อมกัน  ภายใต้คำขวัญที่ว่า  “หัตถศิลป์ถิ่นอีสาน  ตำนานภูมิปัญญา  ก้าวหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 
   
งานนี้ตัวแทนเด็กนักเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เข้าร่วมแข่งขันมหกรรมความสามารถทางศิลปหัตถกรรม...มีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6  บอกเลยครับว่าพวกเขาเจ๋งจริง ๆ  เก่งกันทุกคน  แต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกันไป  อย่างไรก็ตามผลของการแข่งขันในทุกรายการนั้นจะต้องมีการจัดลำดับความสามารถตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้  บางคนได้ระดับเหรียญทอง  เหรียญเงิน  เหรียญทองแดง  และได้ผลแค่การเข้าร่วมการแข่งขันเท่านั้นก็ตาม 
สิ่งที่มากกว่านั้นที่เด็กนักเรียนได้รับครั้งนี้เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ตรง  ผมเชื่อว่าเขาสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเขาได้แน่นอน  ความสำคัญคือ  เราในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง  เมื่อเห็นเด็กนักเรียนเขามีความสามารถแล้ว  เราจะต่อยอดเด็กนักเรียนเหล่านั้นอย่างไร ?  ไม่อยากให้จบแค่การได้รับเหรียญรางวัล  แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน  แต่อยากเห็นการพัฒนาทักษะ  อยากเห็นการสานต่อไปสู่อาชีพต่าง ๆ  อย่าเก็บเพชรเม็ดงามลงลิ้นชักเลยนะครับ  เพราะเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะส่องแสงเจิดจ้าให้กับแผ่นดิน

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

บทความทางวิชากาล...แบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียนดีไหม ?

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง  ตอน  แบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียนดีไหม ?
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            คุณคิดอย่างไรกับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนของเด็กนักเรียนในปัจจุบัน ?  นี่คือคำถามปลายเปิดที่อยากให้ผู้อ่านได้ลองแสดงความคิดเห็นหรือสะท้อนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กนักเรียนในโรงเรียนว่าเป็นอย่างไรบ้าง  โดยเฉพาะครูที่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิด  ปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนโดยตรงและพบเจอสภาพบรรยากาศภายในโรงเรียนตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนหนังสือ
 
            เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภาของฝรั่งเศสได้เห็นชอบกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กนักเรียนภายในโรงเรียน  การแบนสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เชื่อต่ออินเทอร์เน็ตอื่นๆ อย่างเช่นแท็บเล็ต จะมีผลบังคับใช้กับเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 3 ถึง 15 ปี หลังจากผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาไปแล้วเมื่อวันจันทร์ (30 ก.ค. 2561)
ทำไมประเทศฝรั่งเศสถึงตัดสินใจออกกฎหมายห้ามมิให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน  ถ้าเรามองแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มันสลับซับซ้อนก็จะบอกว่า  มันเป็นการทำตามสัญญานโยบายช่วงการหาเสียงของประธานาธิบดีเอมมานูเอล  มาครง  เท่านั้น  แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกผมว่านี่แหล่ะคือ  กฎหมายทางการศึกษาในช่วงศตวรรษที่ 21  ที่ประเทศต่าง ๆ  ในโลกนี้ควรเอาเป็นแบบอย่างโดยเฉพาะประเทศไทย

 ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ให้เหตุผลในการออกกฎหมายนี้ว่า  “ การใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาเรียน หรือการอนุญาตให้นำโทรศีพย์มือถือมาโรงเรียนได้ เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้สุขภาพนักเรียนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เนื่องจากในเวลาพักเบรกช่วงกลางวัน จากเดิมที่มักจะร่วมกันทำกิจกรรมสร้างสรรค์หรือพูดคุยกันเพื่อสร้างความคุ้นเคย นักเรียนกลับเอาเวลาทั้งหมดในช่วงระหว่างวัน โฟกัสไปที่โทรศัพท์มือถือ และสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ มากกว่า”
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญเคยระบุว่า การใช้สมาร์ทโฟนที่มากจนเกินไปเป็นบ่อเกิดของการสูญเสียสมาธิในระยะยาว หรือ เสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้น ทั้งนี้ ผลสำรวจในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา พบว่าในฝรั่งเศสจำนวนนักเรียนอายุระหว่าง 12-17 มีโทรศัพท์มือถือใช้มากถึง 93% และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ ตลอดการเรียนการสอนในแต่ละวันยังมีนักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนในการส่งข้อความหากันในหลายแอปพลิเคชั่น ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ระหว่างชั่วโมงการเรียนนักเรียนจำนวนมากไม่ตั้งใจเรียน และยังโฟกัสไปที่การใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างที่คุณครูสอน

การบังคับใช้กฎหมายกรณีการแบนสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอื่น ๆ สำหรับนักเรียนในฝรั่งเศสนั้น  ผมค่อนข้างเห็นด้วยอย่างยิ่ง  เหตุผลเพราะมีผลการวิจัยต่าง ๆ ของหลายสถาบันที่ได้กล่าวถึงการติดสมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตว่าก่อผลกระทบต่อสมองของมนุษย์เรา  เช่น  การศึกษาหนึ่งจากเกาหลีใต้ที่ทำการวิจัยพวกวัยรุ่นที่ติดอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน พบว่าสมองของเยาวชนเหล่านั้นมีระบบสารส่งผ่านประสาทสูงขึ้น ซึ่งทำให้เซลล์ประสาทสั่งการช้าลง ผลก็คือระดับการควบคุมและความสนใจลดลง ทำให้อ่อนแอต่อสิ่งรบกวนมากกว่าเดิม
            นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลการศึกษาของสถาบันเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ในลอนดอน พบว่าการแบนสมาร์ทโฟนตามโรงเรียนต่างๆ ทำให้นักเรียนมีผลคะแนนการสอบดีขึ้นอย่างชัดเจน  เห็นหรือยังละครับว่าผลที่เกิดขึ้นจากการแบนสมาร์ทโฟนของนักเรียนนั้นส่งผลในทางบวกมากกว่าทางลบแน่นอน

ถ้าจะวาดภาพบรรยากาศโดยทั่วไปของการใช้โทรศัพท์ของนักเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ  ของประเทศไทยเราขณะนี้ผมว่าไม่ต่างไปจากฝรั่งเศส  บางทีอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป  แล้วถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ล่ะอนาคตทาทางการศึกษา  คุณภาพทางการศึกษาอีก  30  ปีข้างหน้า  คงมองได้ไม่ยากนักว่านักเรียนของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าหากขืนปล่อยให้มีการใช้โทรศัพท์ของนักเรียนเป็นไปอย่างเสรีแบบนี้  นักการศึกษาทั้งหลายลองทบทวนหาวิธีการแก้ปัญหากันนะครับ  ดูตัวอย่างบ้านเมืองอื่นเขาบ้าง  ก่อนที่คุณภาพการศึกษาไทยจะดิ่งลงเหวโดยไม่รู้ตัว  อยากเห็นการแก้ปัญหามุมนี้บ้างครับ

บทความทางวิชากาล ทำไมต้อง No Child Left Behind (NCLB) ?


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  ทำไมต้อง  No Child  Left  Behind  (NCLB) ?    
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            “เด็กหลังห้อง”  เป็นคำเรียกขานของครูสำหรับนักเรียนที่ไม่สนใจการเรียน  ไม่มีความสุขในการเรียน  มีพฤติกรรมเสี่ยงด้านต่าง ๆ  จนมีแนวโน้มว่าจะไม่จบการศึกษา  เด็ก ๆ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะถูกมองข้ามจากครูผู้สอนและไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก  จึงดูเสมือนว่า  เขาเหล่านั้นถูกทอดทิ้งโอกาสและไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
    
ผลที่เกิดขึ้นจากการจัดการศึกษาของโรงเรียนในแต่ละปีการศึกษา  จึงมีภาพแสดงความยินดีของนักเรียนที่สำเร็จการศึกษากับภาพแห่งความเศร้าสร้อยของนักเรียนที่ไม่สำเร็จการศึกษา  วนเวียนอยู่แบบนี้ทุกปีการศึกษาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จากบทเรียนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเด็กนักเรียนนั้นเขามีความต่าง  เขามีศักยภาพที่ไม่เหมือนกัน  และมีความพร้อมหรือวุฒิภาวะที่แตกต่าง
  ถ้ามองจากมุมดังกล่าว  ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลช่วยเหลือเด็กหลังห้องกลุ่มนี้เป็นพิเศษ  “ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง...ไม่มีเด็กคนใดถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง”  No  Child  Left  Behind  (NCBL)  ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้  นายรณชัย  สุขสมบูรณ์  ผอ.สพม.32  ได้นำมาเป็นจุดเน้นเพื่อลงสู่สถานศึกษา  โดยได้ชี้แจงหลักการและแนวปฏิบัติสู่พี่น้องเพื่อนครูว่า...

“ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง”  No  Child  Left  Behind  (NCLB)  เป็นรูปแบบการบริหารจัดการ  โดยน้อมนำพระราชดำรัสในหลวง  ร.9  “เด็กรักครู  ครูรักเด็ก”  มาใช้ในการเรียนรู้ระหว่างครูกับนักเรียนด้วยความรัก  เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีความสุข  เป็นคนดี  มีทักษะชีวิต  ได้พัฒนาเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล  ประสบผลสำเร็จจากการเรียนรู้เพื่อการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ  โดยไม่มีนักเรียนคนใดถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังโดยเฉพาะเด็กหลังห้อง
การนำรูปแบบการบริหารจัดการตามแนวคิด  No  Child  Left  Behind  (NCLB)  มีวัตถุประสงค์อยู่  3  ประการ  ประกอบด้วย  หนึ่งเพื่อน้อมนำพระราชดำรัสในหลวง  ร.9  “เด็กรักครู  ครูรักเด็ก”  สู่การปฏิบัติ  สองเพื่อดำเนินงานตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา  ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร  และสามเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน  โดยขับเคลื่อนแนวคิด  No  Child  Left  Behind  (NCLB)  “ไม่มีเด็กคนใด  ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง”

การพัฒนาศักยภาพนักเรียนรายบุคคลให้มีความสุขในการเรียน  จบการศึกษาในปีการศึกษานั้น ๆและมีทักษะชีวิตด้านการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพที่สุจริต  จึงมีความสำคัญในลำดับต้น ๆ  ที่ครูต้องทำความเข้าใจและเข้าถึงเด็กหลังห้องกลุ่มนี้ให้มาก  เพราะถ้าเรามัวหลงแต่ชื่นชมเด็กที่เรียนเก่งอย่างเดียว  และไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจดูแลเด็กหลังห้องอย่างที่ควรแล้ว  การขับเคลื่อนแนวคิด   No  Child  Left  Behind  (NCLB)  ก็จะไม่เห็นประสบผลสำเร็จ 
ช่วยกันนะครับคุณครู  อยากเห็นโรงเรียนต่าง ๆในมุมแบบนี้บ้าง  นี่แหล่ะคือคำตอบที่ว่า  ทำไมต้อง  No  Child  Left  Behind  (NCLB)  “ไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง...ไม่มีเด็กคนใดถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง” 

ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ


“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ”   ) 
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            คำว่า  “ ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ ”  ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก  จับต้องได้ยาก  สัมผัสไม่ถึง  มันไกลเกินกว่าที่คนทั่ว ๆ ไปจะมีโอกาสได้ชื่นชมความงามของผลงานศิลปะที่ศิลปินที่ได้แสดงออกมาในแต่ละชิ้นงาน  แต่นี่คือตัวอย่างหนึ่งของกลุ่มศิลปินที่สร้างผลงานศิลปะด้วยใจรักและมีการนำผลงานมาจัดนิทรรศการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา  11  ปี  “ กลุ่มศิลปินเมืองแปะ ”

            ผมมีโอกาสร่วมงานนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย  ภายใต้ชื่องานว่า  “ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ”  ครั้งที่ 10  ของกลุ่มศิลปินเมืองแปะ  จัดขึ้น    สถานีรถไฟบุรีรัมย์  จังหวัดบุรีรัมย์  ระหว่างวันที่  8 – 17  ตุลาคม  พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา  ในฐานะนักดนตรีรับเชิญเพื่อแสดงในงาน  โดยมีครูน้อยกับครูต้อมร่วมบรรเลงด้วยกันสามคนเพื่อสร้างบรรยากาศด้านเสียงเพลงให้กับผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้
หลังจากเล่นดนตรีเสร็จแล้วผมได้มานั่งฟังประธานกลุ่มศิลปินเมืองแปะ  คือ  อ.สมเกียรติ  เสียงวังเวง  ครู  วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ  โรงเรียนภัทรบพิตร  กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี  นายอนุรัฐ  ไทยตรง  รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์  จึงได้รู้ความเป็นมาเป็นไปว่า  กลุ่มศิลปินเมืองแปะนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของคนทำงานศิลปะจังหวัดบุรีรัมย์  ในปีพ.ศ.2550  ซึ่งมาจากกลุ่มคนที่รักศิลปะและกลุ่มคนที่ทำงานหลากหลายอาชีพ  ในความหลากหลายนั่นเองจึงทำให้การสร้างผลงานศิลปะของกลุ่มมีความงามที่เข้าถึงได้ทุกชนชั้น

การจัดนิทรรศการศิลปกรรมร่วมสมัย  “ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ” ครั้งที่10  มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมสุนทรียภาพให้กับประชาชน  เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์เมืองแปะและประเทศไทย  ผู้ทำงานศิลปะได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน  ประชาชนทั่วไปมีโอกาสได้ชื่นชมผลงานศิลปะ  และเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้ที่สนใจผลงานด้านศิลปะ
จุดเด่นอย่างสิ่งที่น่าสนใจในการจัดนิทรรศการศิลปะครั้งนี้ที่กลุ่มศิลปินเมืองแปะทำได้ดีและมองเห็นแบบทะลุปรุโปร่ง  คือ  การเลือกสถานที่ในการจัดแสดงผลงานนั่นก็คือ  สถานีรถไฟ  ซึ่งสถานที่แบบนี้มันเป็นสถานที่สาธารณะผู้คนมาใช้บริการจำนวนมากในแต่ละวัน  โอกาสที่พี่น้องประชาชนทุกสาขาอาชีพ  ชาวไร่  ชาวนา ...ฯลฯ  เขาก็จะได้มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของศิลปะบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ

 ลองคิดดูนะครับว่าเมื่อประชาชนทั่วไปได้ดู  ได้ชื่นชมความงามของศิลปะ คุณค่าที่เกิดขึ้นมันมหาศาลประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้เลย  นี่คือการจัดนิทรรศการศิลปะที่เป็นแบบอย่างที่ดี  มีคุณค่า  ควรแก่การนำไปเป็นแบบอย่าง  มิใช่จัดไว้ในหอศิลป์  จัดไว้ในสถาบันการศึกษาที่มีคนดูไม่กี่คน  บางที่ก็ดูกันเองบ้าง 
ประเทศเราก็แปลกดีนะครับ  ลองคิดดูนะครับว่า  ถ้าประทศไทยมีการจัดนิทรรศการศิลปะตามสถานีรถไฟต่าง ๆ ทุกสถานี  อะไรจะเกิดขึ้น  ฝากถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องครับนำไปคิดต่อก็ดี...ศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ  มันมีคุณค่าต่อจิตใจจริง ๆ อยากเห็นบ้านเมืองเราในมุมนี้บ้าง

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

บทความวิชากาล เรื่องถอดรหัสบทความที่ว่า..."เข้าใจตรงกันนะ"


บทความวิชากาล  เรื่อง  ถอดรหัสข้อความที่ว่า...“เข้าใจตรงกันนะ”  
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
“ เจ็บใจคนรักโดนรังแกข้าจะเผาเมืองแปรให้มันวอดวาย ”  นี่คือชื่อทีมของนักเรียนโครงการยุวชนประกันภัยจากโรงเรียนกลันทาพิทยาคม  สพม.32  ซึ่งเรียกกันย่อ ๆ ว่า  ทีมเจ็บ...วาย  นักเรียนกลุ่มนี้เขามีแนวคิดและบทบาทหน้าที่ในการทำอะไรบ้าง  นอกเหนือจากการศึกษาเล่าเรียนในห้องสี่เหลี่ยมปกติเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ ทั่วไป  นักเรียนทีมเจ็บ...วาย  กลุ่มนี้เขาทำอะไร  ที่ไหน  อย่างไร  นั้น  ผมจะเล่าสู่กันฟังครับ

ทีมเจ็บ...วาย  เป็นกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนกลันทาพิทยาคม  สพม.32  จำนวน  8  คน  ที่มีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรี  ประกอบด้วย  ด.ญ.สิริวรรณ  คันธะชัย (คีย์บอร์ด)  ด.ญ.วิภาดา  ใจราช (กลอง)           ด.ญ.บุษรา  คัดกลาง (เบส) นายอภิสิทธิ์  แหล่ป้อง (แคน)  นายทินภัทร  เมืองมาก (กีตาร์)  นายอภิสิทธิ์  สะเดา (ร้องแร๊ป) นายภูวนัย  ดวงจันทร์ (กีตาร์) น.ส.อารียา  ธรรมราช (ร้องนำ)  และเขาเหล่านี้ได้สมัครเข้าร่วมโครงการยุวชนประกันภัย  ปี 2561  (ประเภทเพลง)  ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.)

โจทย์ในการเข้าร่วมโครงการมีอยู่ว่า  ให้แต่ละทีมแต่งเพลง  และจัดทำMV  เผยแพร่ผลงานสู่ชุมชนภายใต้หัวข้อ  “ ความสำคัญและประโยชน์ของการทำประกันภัย  พ.ร.บ.  คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ”  หลังจากที่ได้ศึกษารายละเอียดของโครงการแล้ว  ผมพร้อมด้วยครูชัชวาล  ประทุมสินธุ์  และครูประสิทธิ์  หนองนา  ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูที่ปรึกษาให้กับเด็ก ๆ ทีมเจ็บ...วาย  เราได้ประชุมวางแผนการทำงานร่วมกันกับนักเรียนทั้ง  8  คน  กำหนดทิศทางแผนปฏิบัติงานต่าง ๆ  ซึ่งเป้าหมายของเราก็คือ  การสร้างผลงานเพลงขึ้นมาหนึ่งเพลง  เพื่อนำไปเผยแพร่ในโรงเรียนและชุมชน

เราตั้งชื่อเพลงนี้ว่า  “เข้าใจตรงกันนะ”  ความหมายของชื่อเพลงก็คือ  เราอยากจะบอกให้ทุกคนได้เข้าใจตรงกันว่า  การทำประกันภัย  ตาม  พ.ร.บ.  คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้นมันสำคัญและมีประโยชน์ต่อตัวเองและคนรอบข้างจริง ๆ เพราะปัจจุบันสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถนั้นเยอะมากและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใคร  ที่ไหน  อย่างไร  ซึ่งการทำประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยคุ้มครองผู้ประสบภัยได้เป็นอย่างดี 
เพลงเข้าใจตรงกันนะ  เราใช้เวลาเขียนเพลง  เรียบเรียง  ถ่ายทำวีดีโอ  และตัดต่ออยู่ทั้งหมดประมาณหนึ่งสัปดาห์  ด้วยความร่วมมือกันของมิตรภาพทุกภาคส่วน  โดยแนวเพลงนั้นเป็นประเภทไทยสากล(สตริง) และมีท่อนแร็ปเข้ามาร่วมด้วย  โดยใช้แคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานบรรเลงในท่อนแร็ป  เพื่อการเข้าถึงกลุ่มคนฟังที่หลากหลาย  ทำให้เพลงนี้มีความสมบูรณ์  มีจังหวะเร็ว  สนุกสนาน  และลงตัวตามแบบฉบับของการสร้างสรรค์ผลงานเพลงเพื่อรับใช้สังคม 

ถ้าถามว่าเพลงเข้าใจตรงกันนะ  เขียนโดยนักแต่งเพลงมืออาชีพใช่หรือไม่ ?  ร้องโดยนักร้องที่มีชื่อเสียงใช่หรือเปล่า ?  ดนตรีเล่นจากนักดนตรีมืออาชีพใช่หรือไม่ใช่ ?  การเรียบเรียง  ถ่ายทำ  ตัดต่อวีดีโอ  ทำจากมืออาชีพเลยไหม ?  คำตอบทุกอย่าง  คือ  ไม่ ๆ ๆ ๆ  เลยครับ 
แต่เสน่ห์ของเพลงนี้อยู่ที่เนื้อหาหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนจริง ๆ  ครับ  อยู่ที่การได้ทำเพลงขึ้นมาแล้วได้รับใช้สังคมจริง ๆ  โครงการนี้ผมเชื่อว่าเด็ก ๆ นักเรียนทีมเจ็บ...วาย  เขาได้เรียนรู้การทำงานนอกห้องเรียนเยอะมาก  ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน  ได้การทำงานร่วมกับผู้อื่น  และที่น่าดีใจด้วยกับทีมเจ็บ...วาย  ก็คือ  ผลงานของพวกเขาได้รับรางวัลชนะเลิศระดับจังหวัด  ชนะเลิศระดับภาค  และก้าวเข้าสู่รอบชิงระดับประเทศแล้ว    ตอนนี้ 

ติดตามผลงานและรับฟังเพลง  “เข้าใจตรงกันนะ”  ทีมเจ็บ...วาย  ได้ผ่านช่องทาง  Youtue.com  ด้วยการ  search  คำว่า  “เข้าใจตรงกันนะ  เจ็บวาย  ได้ที่นี่เลยครับ  https://www.youtube.com/watch?v=W55eHOUdMSw และนี่คือหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ในการปลูกฝังเยาวชนให้รู้จักการนำดนตรีเข้าไปรับใช้สังคม  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตสิ่งดีงามเหล่านี้จะติดตัวเขาและนำไปสู่การพัฒนาชาติต่อไป ... “ เข้าใจตรงกันนะ”  

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บทความ...ความสุขจาก...ลูกหมูใส่รองเท้า


“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  ความสุขจาก...ลูกหมูใส่รองเท้า ) 
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ติดตามข่าวนักฟุตบอลเยาวชน และผู้ฝึกสอน  ทีมหมูป่า  อาคาเดมี่  รวม 13 คน  ที่เข้าไปท่องเที่ยวในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย  เมื่อช่วงบ่ายวันที่  23  มิถุนายน  2561 หลังจากซ้อมฟุตบอลเสร็จ  และได้ติดอยู่ในถ้ำออกมาไม่ได้   รวม 18  วัน  เป็นระยะเวลากว่า  400  ชั่วโมง 

ท่ามกลางความห่วงใยของคนทั้งประเทศรวมไปถึงพี่น้องทั่วโลก  ต่างก็มาช่วยเหลือกัน  คิดหาวิธีการค้นหาและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเต็มกำลัง  จนปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือนักฟุตบอลทีมหมูป่า  อาคาเดมี่  ประสบความสำเร็จลงได้อย่างงดงาม  ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง  ต้องปรบมือรัว ๆ  ชื่นชมสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในครั้งนี้  กับภารกิจที่ต้องใช้ความกล้าหาญ  ความชำนาญ  และความรัก  ทุกคนคือ  ฮีโร่  ครับ
            เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของประเทศไทยก็ว่าได้  เพราะยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา  โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ  ทั้งในและต่างประเทศ  เหตุการณ์จากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนทุกฝ่ายจะต้องนำมาถอดบทเรียนในทุกมิติ  เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจร่วมกัน  รวมถึงการแก้ไขสถานการณ์ในอนาคต
  ผมเชื่อว่าความรู้สึกแรกของผู้ที่ติดตามข่าวนี้ปลาบปลื้มดีใจสุด ๆ หลายคนคนดีใจจนน้ำตาซึมไม่แพ้กัน  คือ  หนึ่งวินาทีแรกที่ของการค้นหาและพบเจอ  13  หมูป่า  ที่ยังมีชีวิตทั้งหมด  สองวินาทีของการช่วยเหลือนำหมูป่าออกจากถ้ำได้คนแรก  และสามวินาทีที่นำหมูป่าตัวสุดท้ายออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย  รอยยิ้มของคนไทยทั่วทั้งประเทศในวันนั้นเกิดขึ้นพร้อม ๆ  กันอย่างน่าอัศจรรย์  หลังจากที่ช่วยลุ้นทีมกู้ภัยหน่วยต่าง ๆ  อย่างใจจดใจจ่อ
 
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้คลี่คลายลง  ผมนึกถึงบทเพลงเพลงหนึ่งของวงสองวัยในชุด  เจ้าผีเสื้อเอย  นั่นคือเพลงลูกหมูใส่รองเท้า  ผมมองว่าเหตุการณ์นักฟุตบอลเยาชนและผู้ฝึกสอน  ทีมหมูป่า  อาคาเดมี่  ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน  กับเพลงลูกหมูใส่รองเท้า  วงสองวัย  มีมุมมองเนื้อหา  ลำดับเหตุการณ์  ที่คล้าย ๆ  กัน  แต่ต่างกรรม  ต่างเวลา  ต่างวาระ  ลองไปฟังดูนะครับ  เนื้อร้องมีอยู่ว่า...
              เช้าแจ่มใสวันหนึ่งซึ่งเป็นวันน้ำนอง ลูกหมูก็อยากจะลอง อยากจะลองเล่นโคลน
แต่แล้วก็ต้องคันเท้า พยาธิไชเข้าเท้ามัน ลูกหมูคิดได้โดยพลัน ต้องป้องกันทันที  จึงทำรองเท้าด้วยไม้ ใช้เชือกเป็นสายชั้นดี เร็วๆมาช่วยกันซีจะได้ของดีเสียงดัง  ก็อบ กิ๊บ ก็อบ..ก็อบ กิ๊บ ก็อบ..ก็อบ กิ๊บ ก็อบ กิ๊บ ก็อบ กิ๊บ ก็อบ กิ๊บ ก็อบ  ฟังๆเสียงชั้นเดินสิ ฟังๆเสียงชั้นเดิน ฟังๆเสียงชั้นเดินสิ ก็อบ ก็อบ ก็อบ  ฟังๆเสียงชั้นเดินสิ ฟังๆเสียงชั้นเดิน ฟังๆเสียงชั้นเดินสิ ก็อบ ก็อบ ก็อบ

            เรื่องราวของหมูป่าอาคาเดมี่  ทั้ง  13  ชีวิต  สอนเราให้รู้ว่า...  ความรัก  ความเมตตา  ความสมัครสมานสามัคคี  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  และการทำหน้าที่ของตนเองให้มีความสมบูรณ์พร้อม  จะนำมาซึ่งความสำเร็จและความสุขโดยทั่วกัน  (สดุดีจ่าแซม ...  นาวาตรีสมาน  กุนัน...  วีรบุรุษถ้ำหลวง)

CR  :  ภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

บทความ...การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ


                               การจัดการศึกษา...สำหรับคนพิการ


โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  ได้ประกาศใช้เป็นระยะเวลากว่า  11  ปีแล้วก็ตาม  แต่เชื่อหรือไม่ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างครูผู้สอนบางคนยังทำตัวอยู่ในกะลาครอบอีกมากมายในประเทศนี้  ที่ไม่พร้อมจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  และยังมีครูที่มีทัศนะคติไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย  ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า  ตอนนี้ประเทศไทยของเราได้มีพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  พ.ศ.2551  และที่แก้ไขเพิ่มเติม  พ.ศ.2556 
  
เมื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  ไม่ทราบถึงตัวบทกฎหมายหรือระเบียบข้อปฏิบัติต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กกลุ่มนี้แล้ว  ปัญหาหรือผลกระทบต่าง ๆ  ในการจัดการศึกษาของนักเรียนกลุ่มดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นตามมาแน่นอน  เหตุผลเพราะว่า  เมื่อฝ่ายบริหารการศึกษาที่เป็นหัวหอกหลักในการถือธงนำทางไม่รู้เรื่องดังกล่าว  ไม่ยอมศึกษาตัวบทกฎหมายให้ถ่องแท้  ไม่มีความชัดเจนในการกำหนดแนวทางการปฏิบัติสู่ครูผู้สอนอย่างเป็นระบบแล้ว  คนพิการจึงถูกมองเสมือนหนึ่งว่าเป็นภาระของสังคม  เป็นตัวประหลาดในโรงเรียน  ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

เกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  แม้ว่ากฎหมายจะผ่านมาแล้วกว่า  1  ทศวรรษ  แต่สถานศึกษาบางแห่งก็ยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นจริงเป็นจัง  ทำตัวเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี  มีทัศนคติเดิมๆ  มองความพิการของเด็กเป็นตัวตลก  จัดกิจกรรมการเรียนการสอนและประเมินผลเฉกเช่นเดียวกันกับกลุ่มเด็กนักเรียนปกติ  ผลกระทบที่ตามมาก็  คือ  นักเรียนที่มีความพิการไม่ผ่านการประเมินในวิชานั้นๆ  ติด 0    มส  หรือไม่สามารถทำได้เหมือนเด็กนักเรียนกลุ่มปกติ  ซึ่งผิดหลักการจาก พ.ร.บ. การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม  พ.ศ. 2556 
ที่มีเจตนารมณ์  คือ  การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ  มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป  จึงจำเป็นต้องจัดให้คนพิการมีสิทธิและโอกาสได้รับการบริการและช่วยเหลือทางการศึกษาเป็นพิเศษ  ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ...

ตามเจตนารมณ์ดังกล่าวข้างต้นพอจะทำให้ครูซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับคนพิการได้เข้าใจแล้วว่า  จะกระทำแบบเดียวกันกับเด็กปกติไม่ได้  โดยสถานศึกษาจะต้องคัดกรองเด็กตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง  กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา  พ.ศ.2552  โดยกำหนดไว้  9  ประเภท  ได้แก่  บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น  ทางการได้ยิน  ทางสติปัญญา  ทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ  ทางการเรียนรู้ ทางการพูดและภาษา ทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ บุคคลออทิสติก  และบุคคลพิการซ้อน  โดยครูผู้สอนจะต้องจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)  และแผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (IIP)  เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนคนพิการเฉพาะบุคคล

แค่ความพิการของเขาที่เลือกเกิดไม่ได้ก็ถือว่าหนักมากพอแล้วสำหรับชีวิตคน ๆ หนึ่ง  ขอแค่คุณครูใช้ความเข้าใจ  ให้ความรัก  ไม่ซ้ำเติมชีวิต  ทำให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมได้  แค่นี้ก็ได้บุญแล้วครับและเป็นบุญที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียด้วยครับคุณครู 
                                                              CR : ภาพจากอินเตอร์เน็ต