วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รวมพลคนบ้า ปลูกต้นไม้


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน รวมพลคนบ้า...ปลูกต้นไม้ )
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
          โดยทั่วไปกลุ่มคนที่ทำอะไรทวนกระแสกับสังคมจะถูกมองว่าเป็น  “คนบ้า” ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนส่วนรวมก็ตาม  หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็คือ  คนที่ชื่นชอบการปลูกต้นไม้นั่นเอง  ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนบ้าในสายตาของสังคมมาโดยตลอด  คำว่า “คนบ้า”  จึงถูกนำมาใช้ในงานงานหนึ่งของกลุ่มคนที่รักการปลูกต้นไม้  โดยใช้ชื่องานว่า  “รวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้”  ครั้งที่ 1

          งานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้  ครั้งที่ 1  จัดขึ้นที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงทุ่งแสงทอง  บ้านตามา  ตำบลชุมแสง  อำเภอสตึก  จังหวัดบุรีรัมย์  เมื่อวันที่  29 -30  มิถุนายน  พ.ศ.2562  ที่ผ่านมา  โดยมีวัตถุประสงค์หลัก  คือ  เพื่อให้กลุ่มคนที่รักการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ต่าง ๆ  ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  ประมาณว่างานนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่เป็นการรวมพลคนบ้า (ปลูกต้นไม้) ไห้มาเจอะเจอกัน
          ความเป็นมาเป็นไปของงานนี้  ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมประชุมและสังเกตการณ์  เมื่อครั้งไปร่วมกันปลูกต้นไม้ที่ไร่เพ็ญจันทร์สันติสุข  อำเภอบัวลาย  จังหวัดนครราชสีมา  ของอาจารย์คำทด (นายทศพล ทศพิมพ์)  ผู้เขียนจึงได้ทราบว่า  งานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้  ครั้งที่ 1 นั้น  มีพี่เปี๊ยก (นายตายแน่  มุ่งมาจน)  กับ  พี่หนึ่ง (นายคำนึง  เจริญศิริ)  เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของงาน  โดยมีอาจารย์คำทดเป็นผู้ประสานงานและมีพี่น้องเครือข่ายต่าง ๆ ช่วยกัน งานนี้พี่เปี๊ยกบอกว่า “ทุกคนเป็นเจ้าภาพร่วมกันและมีต้นทุนในการจัดงานศูนย์บาท”

          ผู้เขียนมองการจัดงานที่มีต้นทุนศูนย์บาทไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาในลักษณะไหน  เพราะที่เคยเห็นเวลาจัดงานหรือมีกิจกรรมใดๆ  จำเป็นต้องมีงบประมาณในการดำเนินการแทบทุกครั้ง  หลังจากฟังการประชุมเสร็จจึงได้รู้ว่า  งานศูนย์บาทนั้นเป็นการจัดงานที่ไม่มีต้นทุนหรือไม่เอาเงินเป็นตัวตั้ง  แต่จะใช้หัวใจในการทำงานร่วมกันแทนสิ่งดังกล่าว  แค่คิดก็เข้ากับเนื้อหาของงานแล้วครับ  “รวมพลคนบ้า...”
งานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้  ครั้งที่1  จึงเป็นการจัดงานที่ไม่ต้องใช้หลักเศรษฐศาสตร์ตามหลักวิชาการของตะวันตกแต่อย่างใด  แต่จะใช้หลักการของวัฒนธรรมความเป็นมนุษย์แทน  นั่นคือการช่วยเหลือ  เกื้อกูล  และแบ่งปันซึ่งกันและกัน 
งานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้  ครั้งที่ 1  จึงดำเนินไปด้วยธรรมชาติที่จัดสรรและเกิดขึ้นได้อย่างงดงาม  ซึ่งในงานนี้ผู้เขียนได้สรุปรูปแบบการจัดงานออกเป็น  3  ด้าน  ประกอบด้วย  หนึ่งด้านการจัดการองค์ความรู้  งานนี้มีเวทีการเสวนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากปราชญ์ชั้นครูอย่างพระอาจารย์สังคม  ธนปัญโญ  พ่อคำเดื่อง  ภาษี  อ.โจน  จันได อ.กมล  พรหมมาก  อ.ทอง ธรรมดา  และผู้รู้ท่านอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย 

สองด้านการจัดนิทรรศการที่มีชีวิต  งานนี้มีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์จากกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ  การจำหน่ายกล้าพันธุ์ไม้ในราคาบุญนิยม  ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก  กล้าไม้หลายหมื่นต้นจำหน่ายหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง
สามด้านวิถีวัฒนธรรม  งานนี้มีการแสดงขับกล่อมดนตรีสะอาดจากวงโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง  วงด่านช้าง  วงGahgood  รวมถึงวงจากเครือข่ายต่างๆที่มาร่วมกันแบ่งปัน
บรรยากาศของงานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้  ครั้งที่ 1  ได้รับการแบ่งปันในการถ่ายทอดกิจกรรมผ่านสื่อต่าง ๆ  จากทีมถึงสื่อถึงคนของบุญนิยมทีวี  และสามารถรับชมบรรยากาศต่าง ๆ  ย้อนหลังได้ผ่านทาง  Youtube  ช่องสามอาชีพ  เพื่อมนุษยชาติ โดยพี่เปี๊ยกและทีมงานได้ไลด์สดตลอดทั้งงาน

ความงามของงาน “รวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้ปลูกต้นไม้”  ครั้งที่ 1 แสดงให้เห็นถึงพลังอันบริสุทธิ์ของเหล่าบรรดาคนบ้าปลูกต้นไม้  ที่จัดงานด้วยต้นทุนศูนย์บาท  สามารถทำได้จริงและทำได้ดีมาก ๆ  รับรองได้ว่าไม่มีหน่วยงานใดทำได้แบบนี้อย่างแน่นอน  ผู้เขียนอยากให้มีการถอดบทเรียนของการจัดงานศูนย์บาทในประเด็นต่าง ๆ โดยละเอียด  เพื่อเป็นอึกหนึ่งองค์ความรู้ไว้แบ่งปันการทำงานสำหรับคนรุ่นหลังครับ 

งานรวมพลคนบ้าปลูกต้นไม้ครั้งต่อไปจะยังคงเกิดขึ้นหรือไม่นั้น  ผู้เขียนไม่สามารถบอกได้  แต่งานครั้งนี้ได้ปลูกต้นไม้ในใจของทุกคนเข้าแล้ว  “เจริญธรรมสำนึกดี  ทุกคน” อยากเห็นบ้านเมืองเราในมุมนี้บ้างครับ 

CR : ขอบคุณภาพ  
      จากทีม...ถึงสื่อ ถึงคน

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ต้องปลูกต้นไม้ ถึงจะจบการศึกษา


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน ต้องปลูกต้นไม้ก่อน...ถึงจะจบการศึกษาได้ )
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา  ขณะที่ผู้เขียนกำลังกำลังขับรถเพื่อไปทำงาน  ระหว่างนั้นได้เปิดวิทยุเพื่อรับฟังข่าวสารประจำวัน  พักหนึ่งก็มาสะดุดกับการพาดหัวข่าวอยู่ประเด็นหนึ่งที่ว่า ........... “ฟิลิปปินส์ออกกฎหมายให้นักเรียนนักศึกษาปลูกต้นไม้ก่อนจบการศึกษา” 
            ผู้เขียนพยายามตั้งใจฟังรายละเอียดของข่าวดังกล่าว  พร้อมกับการตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับการจัดการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์  ผู้นำของประเทศเขาคิดอะไรอยู่จึงต้องถึงขั้นการออกกฎหมายเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้ปลูกต้นไม้ก่อนจบการศึกษาทุกคน  หลังจากได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้วจึงสรุปความได้ว่า

            สมาชิกรัฐสภาฟิลิปปินส์ได้ผ่านร่างกฎหมายใหม่ กำหนดให้นักเรียนมัธยมศึกษา และนักศึกษาวิทยาลัย ต้องปลูกต้นไม้อย่างน้อย 10 ต้น จึงจะจบการศึกษาได้  กฎหมายฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นจากประเพณีปลูกต้นไม้เมื่อจบการศึกษาที่มีอยู่แต่เดิม ซึ่งจะทำให้มีต้นไม้ปลูกใหม่เพิ่มปีละ 175 ล้านต้น  เป้าหมายของกฎหมายฉบับนี้คือ  จะช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแก่คนรุ่นหลังและนำไปสู่ความคิดริเริ่มนิเวศวิทยาในลำดับต่อไป
 
นายแกรี อเลจาโน สมาชิกสภาฟิลิปปินส์ พรรคมักลาโด พรรคการเมืองเสียงข้างน้อย หัวหน้าคณะร่างกฎหมายปลูกต้นไม้ ระบุว่า แต่ละปีฟิลิปปินส์มีนักเรียนกว่า 12 ล้านคน ที่จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา  มีนักเรียนประมาณ 5 ล้านคนที่จบการศึกษาชั้นมัธยม และมีนักศึกษาเกือบ 5 แสนคนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัย ซึ่งความคิดริเริ่มนี้เขาบอกว่าหากดำเนินการอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็จะมีต้นไม้ใหม่ปลูกเพิ่มปีละอย่างน้อย 175 ล้านต้น  ซึ่งเขาคำนวณคร่าว ๆ  ว่า  ระหว่าง 1 ชั่วอายุคน ประเทศเขาจะมีต้นไม้ปลูกเพิ่มไม่น้อยกว่า 525 ล้าน ให้คนรุ่นหลังซึ่งจะรับหน้าที่ต่อไป

นี่คือหนึ่งเรื่องง่าย ๆ  ของการใช้นโยบายการจัดการศึกษาให้กับพลเมืองของฟิลิปปินส์  นอกจากผู้เรียนจะได้รับการปลูกฝังด้านสิ่งแวดล้อมการปลูกต้นไม้แล้ว  ประเทศของเขาก็มีจำนวนป่าไม้เพิ่มขึ้น  ความสมบูรณ์ด้านทรัพยากรป่าไม้ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ  สุดท้ายสรรพสิ่งบนโลกก็จะได้รับประโยชน์เฉกเช่นเดียวกัน  ลองจินตนาการตามนะครับว่าถ้าทุกประเทศทำแบบนี้บ้างอะไรจะเกิดขึ้น  การศึกษาไทยควรเอาแบบอย่างฟิลิปปินส์ในเรื่องนี้   อยากเห็นประเทศเราในมุมนี้บ้างครับ          

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

รอมานานถึง 78 ปี


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน รอมานานถึง... 78  ปี )
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            นับตั้งแต่ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมาย  พ.ร.บ. ป่าไม้  พ.ศ.2484  นับถึงปีปัจจุบัน (พ.ศ.2562)  ปีนี้อายุครบ 78  ปี  ถ้าเปรียบกับอายุของคนทั่วไปแล้วถือว่าเข้าสู่วัยชราภาพจะทำอะไรก็ลำบาก  ลูกหลานต้องช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด  ถึงแม้ว่าอายุของกฎหมายกับอายุของคนเรานั้นจะนำมาเปรียบเทียบกันมิได้ก็ตาม   แต่ถ้านับระยะเวลาการบังคับใช้แล้วก็ถือได้ว่าล้าหลังพอสมควร  และควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข  เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน

ผลของการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวผ่านมา  78  ปี  ส่งผลให้ป่าไม้ของไทยลดลงมาเรื่อย ๆ  เมื่อจากเทียบอดีตจนถึงปัจจุบันพบว่า  พื้นที่ป่าหายไปกว่าครึ่ง โดยหากย้อนกลับไปดูภาพจากอดีตประเทศไทยนั้นอุดมไปด้วยพื้นที่สีเขียวของป่าไม้อยู่ในทั่วทุกภูมิภาค   แต่เมื่อเทียบกับแผนที่แสดงป่าไม้ที่ใช้กันในปัจจุบัน พบว่าพื้นที่ป่านั้นได้ลดลงอย่างน่าใจหาย  มีเพียงภาคเหนือและตะวันตกเท่านั้นที่ยังคงมีพื้นที่สีเขียวให้เห็นมากที่สุด 
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ป่านั้น สืบเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าที่ยังคงกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ  การแผ้วถางเพื่อการเกษตร  การครอบครองพื้นที่ป่าเพื่ออยู่อาศัยและทำกิน  ทั้งยังมีปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรอีกด้วย  และปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ  ปัญหาการประกาศใช้  พ.ร.บ.  ป่าไม้  พ.ศ.2484 

เพราะเรื่องการกำหนดชนิดไม้สงวนหวงห้ามไว้ในมาตรา7  ทำให้ชาวบ้านเกิดความกลัวและกังวลไม่กล้าปลูกไม้ในทีดินที่มีกรรมสิทธิ์ของตนเอง  ตรงกันข้ามกลับให้มีการสัมปทานป่าไม้แก่กลุ่มนายทุนการกระทำเช่นนี้จึงทำให้ป่าไม้หมดไปจากบ้านเรา 
ความพยายามให้มีการแก้ไขกฎหมาย  (พ.ร.บ.  ป่าไม้  พ.ศ.2484)  จากองค์กรภาคประชาชนหลาย ๆ องค์กรร่วมกันเรียกร้องและต่อสู้ร่วมกันก็มาสำเร็จเอาในช่วงรัฐบาลคสช   และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17  เมษายน  พ.ศ. 2562 ความสำเร็จนี้เป็นเพียงก้าวหนึ่งเท่านั้นในรอบ  78  ปี  ต่อไปนี้ไม้ทุกชนิดสามารถปลูกและใช้ประโยชน์ได้แล้วนะครับ ไม่เป็นไม้หวงห้ามอีกต่อไปแล้ว  ตามมาตรานี้เลยครับ   
"มาตรา 7 ไม้ชนิดใดที่ขึ้นในป่าจะให้เป็นไม้หวงห้ามประเภทใด ให้กำหนดโดย พระราชกฤษฎีกา สำหรับไม้ทุกชนิดที่ขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวล กฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม หรือไม้ที่ปลูกขึ้นในที่ดิน ที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ตามประเภท หนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ถือว่าไม่เป็น ไม้หวงห้าม"

ต่อจากนี้ประชาชนที่มีที่ดินของตัวเองสามารถปลูกไม้มีค่าได้ เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ให้ครัวเรือน รวมถึงเพิ่มพื้นที่ป่าและความชุ่มชื้นให้กับโลกของเรา  การปลูกป่าเป็นการสร้างรายได้และสามารถที่จะลดการลักลอบการตัดไม้ในพื้นที่ป่าลงได้อีกทางหนึ่ง  มาปลูกต้นไม้กันเยอะ ๆ  นะครับ  อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง

วงเสวนาชาวนาประณีต


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  วงเสวนา...ชาวนาประณีต )
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            “ผมปลูกข้าว  1  ไร่  ได้ผลผลิต  6  ตัน  หรือ 6,000  กิโลกรัม  เชื่อมั้ย”  นี่คือคำพูดที่สะดุดหูคนฟังที่เข้าร่วมวงเสวนาเป็นที่สุด  นี่คือคำพูดที่ฟังแล้วจะต้องหยุดคิดและมีคำถามตามมาอีกมากมาย  หลายคนตั้งคำถามในใจว่ามีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ ?  และอีกหลายคนเช่นกันที่เริ่มสนใจว่ทำอย่างไรถึงได้ผลผลิตมากมายขนาดนั้น ? 

นี่คือคำพูดของเกษตรกรวัยกลางคนคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จจากการลงมือทำนาด้วยตนเองและผ่านการวิจัยตามกระบวนการจนได้รับองค์ความรู้ใหม่ในการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตที่สูง  ประหยัดต้นทุนในการผลิตและเป็นเกษตรอินทรีย์แบบร้อยเปอร์เซ็น  ผู้ที่ผมกำลังกล่าวถึง  คือ  ดร.เกริก  มีมุ่งกิจ
ผมมีโอกาสได้ร่วมวงเสวนา  กับ  ดร. เกริก  มีมุ่งกิจ  เมื่อวันที่ 17  มีนาคม  2562  ที่ผ่านมา  ซึ่งจัดโดยเครือข่ายเกษตรอินดี้บุรีรัมย์ กลุ่มเกษตรปลอดสารปันเตียย เกียรติเจริญ บ้านตะลุงเก่า อ.ประโคนชัย     จ.บุรีรัมย์  ความสำคัญในวงเสวนาที่หลายคนสนใจ  คือ  การนำเสนอความสำเร็จจากการทำนา 1 ไร่  แล้วได้ผลผลิต 6,000  กิโลกรัม  พอสรุปได้  3  ประเด็น  ดังนี้

1.        การปรับสภาพดินและกำจัดวัชพืช  ให้ใช้ใบไม้ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หว่านให้ทั่วแปลง ในอัตราไร่
ไร่ละ 1 ตัน  แล้วใช้น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยประมาณ 5-10 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร รดทั้งพื้นที่ แล้วไถกลบทิ้งไว้ 20-30 วัน  เพื่อปรับสภาพดินและกำจัดเมล็ดวัชพืชที่อยู่ในดิน
2.        การปลูก  ให้ไถคราด หรือปั่นด้วยโรตารี ให้ดินเสมอเพื่อพร้อมสำหรับปลูก โดยใช้
วิธีการหยอดเมล็ด ใช้ระยะห่างระหว่างกอ 40 x 40 เซนติเมตร  โดยในเมล็ดที่หยอดในแต่ละหลุดให้มีความห่างกัน 5-7 เซนติเมตร  หลังหยอดเมล็ดต้องรักษาความชื้นในแปลงปลูกอย่าให้ดินแห้ง  และก็อย่าให้น้ำขังจนกว่าเมล็ดจะงอก  หากแล้งมากให้ใช้ระบบเทปน้ำพุ่งมาแก้ไขปัญหาตลอดฤดูการเพาะปลูก  

3.        การดูแล บำรุงแปลงปลูก  เดือนแรก ใช้น้ำส้มควันไม้ ยูเรียน้ำอินทรีย์ จุลินทรีย์หน่อกล้วย
อย่างละ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้งเพื่อบำรุงใบ  เดือนที่ 2 ใช้น้ำส้มควันไม้ น้ำหมักมูลค้างคาว จุลินทรีย์หน่อกล้วย  อย่างละ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้งเพื่อบำรุงลำต้นให้แตกกอดี  เดือนที่ 3-4 ให้ใช้ฮอร์โมนไข่ 300 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้งไปจนเก็บเกี่ยวเพื่อบำรุงมีการเปิดตาดอก รวงยาว และเมล็ดสมบูรณ์
            วงเสวนาดำเนินไปอย่างได้อรรถรส  ทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างมีความสุข  แต่น่าเสียดายเวลาได้จบลงพอดี  ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับพี่น้องชาวนา  อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้างครับ

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ฮักแพง แบ่งปัน... ดนตรีแห่งมิตรภาพ


  ฮักแพง  แบ่งปัน...  ดนตรีแห่งมิตรภาพ 
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            มีผู้รู้หลายท่านได้กล่าวไว้ว่า...  ดนตรีเป็นวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้  ดนตรีเป็นวัฒนธรรมภาษาสากลที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารซึ่งกันและกัน  ดนตรีจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้และเข้าใจตรงกันได้  พลังแห่งเสียงดนตรีจึงสามารถช่วยหล่อหลอมให้มนุษย์เกิดความรัก  เกิดการแบ่งปันและเกิดมิตรภาพที่ดีต่อกัน


            ผมพยายามนำดนตรีที่ร่ำเรียนมากลับไปรับใช้สังคมตามโอกาสต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง  แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการรับใช้กลุ่มคนที่มุ่งหวังแค่ความสุข  สนุกสนานเท่านั้น  ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตัวเองได้เลยว่านำดนตรีรับใช้สังคมได้อย่างไร  นั่นหมายความว่าดนตรีที่เรานำไปแสดงในงานต่าง ๆ นั้น  มันไปไม่ถึงเป้าหมายตรงนั้นสักครั้งหนี่ง  
เป็นความโชคดีอีกครั้งหนึ่งเมื่อผมได้รับข่าวจากเพื่อนทางเฟสบุ๊คมีข้อความว่า  มิตรภาพอันอบอุ่นจะอบอวนทั่วท้องทุ่งอันกว้างใหญ่อีกครั้ง เชิญชวนเด็กๆทุกคนมาเติมเต็มจินตนาการผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย ซับดนตรีและวิถีธรรมทุ่งกว้างอันเรียบง่ายเพื่อสุนทรียะอันเบิกบาน  เราเชื่อว่า มิตรภาพและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันน้ำใจให้กันและกันจะยังความงดงามและน่าอยู่ให้เกิดขึ้นกับสังคมได้ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายถ้าท่านใดอยากร่วมแบ่งปันปัจจัยเพื่อเด็กๆก็สาธุครับ...” 

ผมรีบติดต่อประสานงานไปยังครูลี่ทันที  และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางดนตรีที่วงด่านช้างได้รับเกียรติในการแบ่งปันความสุขทางดนตรี  ในงานเทศกาลวันเด็กในทุ่งกว้าง ครั้งที่ 3    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดบุรีรัมย์  เมื่อวันที่ 26  มกราคม  2562 ที่ผ่านมา  ความพิเศษของงานนี้คือ  ทุกคนไปด้วยหัวใจ  ทุกคนไปเพื่อการแบ่งปันโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ  ตามสโลแกน  “ฮักแพง  แบ่งปัน  ชาวทุ่งกว้าง”
ความสุขของการแบ่งปันจากพวกเราวงด่านช้างครั้งนี้เป็นแนวดนตรีโฟร์คซองผสมผสานกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน  ความพิเศษที่เราตั้งใจไว้คือ  การนำเสนอแนวดนตรีที่มีความเป็นอีสานแท้ ๆ เช่น  โหวด  พิณ  แคน  มาบรรเลงร่วมกันกับเครื่องสากลอย่างกีตาร์โปร่ง  ซึ่งถือได้ว่าเป็นดนตรีอีกมิติหนึ่งที่ลงตัวมาก ๆ  ประกอบกับเพลงที่จะใช้ในการขับร้องก็เป็นเพลงของวงพวกเราทั้งหมด  เช่น  เพลงวิญญาณป่า  ผีเสื้อน้อย  หน่อไม้กับเด็กชายอ่อนหวาน  และเพลงพลังแห่งรัก 


บรรยากาศในการเล่นดนตรีในครั้งนี้ถือว่าวงด่านช้างได้ทำหน้าที่ในการนำดนตรีไปรับใช้สังคมได้อย่างงดงามอีกครั้งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นในส่วนชองเนื้อหาของบทเพลงและแนวดนตรีโฟร์คซองที่บรรเลงออกไป  เด็ก ๆ นั่งปรบมือและลุกขึ้นเต้นกันอย่างสนุกสนาน  ที่สำคัญเขาฟังเพลงของเราและตอบคำถามจากบทเพลงที่เราร้องได้อย่างมีจินตนาการ  บอกได้คำเดียวว่าประทับใจไม่มีวันลืมครับ  หลังจากเล่นดนตรีเสร็จแล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่างานนี้มีความสุขมาก ๆ 


ยามเช้าของอีกวันหนึ่งผมมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องปลื้ม  เด็กชายปณิภัทร  เถาแตง  นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านถาวร  หนึ่งในนักเรียนที่มาเรียนที่โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างกับครูลี่  น้องเขาบอกว่า  “ การมาเรียนที่นี่ทำให้เขาเลิกจากการเป็นเด็กติดเกม  ได้ปลูกผัก  ได้เล่นดนตรี  ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของตนเองและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ และที่สำคัญที่นี่สอนให้เราไม่ลืมรากเหง้าของตนเองด้วยครับ ”  ผมได้แต่สะออนคำพูดของน้องเขา...ชื่นใจครับเด็ก  ป.4  รู้จักคำว่ารากเหง้าของตัวเอง  อยากเห็นการจัดการศึกษาไทยแบบนี้ทั่วทั้งประเทศบ้างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562

บทความทางวิชากาล เรื่อง วันครู...บนโลกออนไลด์


อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง  ( ตอน  วันครู...บนโลกออนไลด์ )
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            “ปาเจรา  จาริยา  โหนติ  คุณุตตะรา  นุสาสะการ”  เสียงกล่าวนำบทไหว้ครูจากตัวแทนครูอาวุโสดังอย่างไพเราะนุ่มนวล  เหมือนดั่งมนต์ขลังสะกดให้ผู้ที่เข้าร่วมงานทุกคนอยู่ในความเงียบอย่างน่าอัศจรรย์พร้อมเปล่งเสียงร้องบทไหว้ครูพร้อมกันอย่างมีพลัง  “ ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์  ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา  ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา  อบรมจริยา  แก่ข้าในการปัจจุบัน...”  นี่คือบรรยากาศในช่วงพิธีการของคณะครูที่เข้าร่วมงานวันครูในปีนี้

            วันครูแห่งชาติของทุกปีถือได้ว่าเป็นวันของทุก ๆ คน เหตุผลก็คือ  เพราะวันนี้เป็นวันที่เราได้ระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ แม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ของชาติที่ได้อบรมสั่งสอนเรามาตั้งแต่เล็ก ทำให้เราเป็นคนดีมีวิชาความรู้ เพราะฉะนั้นครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างมากในวงการการศึกษาทั้งในด้านวิชาการ คุณธรรมจริยธรรมและประสบการณ์ รวมทั้งเป็นอาชีพที่ถือว่ามีความเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างมาก อย่างที่หลาย ๆคนมักจะกล่าวอยู่เสมอว่า  “ ที่มีวันนี้ได้ก็เพราะครู ” 
            คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น "วันครู" โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา  เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้  วันที่  16  เดือนมกราคมของทุกปี  จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ซึ่งเรียกวันนี้ว่า  “วันครูแห่งชาติ”

  สำหรับรูปแบบการจัดงานวันครูนั้นโดยทั่วไปจะมีกิจกรรมทางศาสนา  กิจกรรมพิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์  และกิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น  เพื่อสร้างความสนุกสนานและปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมอาชีพ
ปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมตั้งข้อสังเกตและเห็นความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยก็คือ  การใช้สื่อออนไลด์ในการโพสน์ข้อความ  การส่งรูปภาพต่าง ๆ  เพื่อบอกเล่า  อวยพร  ระลึกถึงพระคุญของคุณครูเก่า ๆ  คุณครูคนแรก  คุณครูสมัยประถม ...ฯลฯ  ผมมองว่าเป็นการแสดงออกที่ดีน่าชื่นชมครับ  สรุปว่าวันนี้ทั้งวันเราก็จะได้รับข้อมูลข่าวสารจากเพื่อน ๆ แบบนี้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน


 แต่อีกมุมหนึ่งเหมือนมันไหลไปตามกระแสโลกโซเชียลจริง ๆ  มีการคัดลอกข้อความส่งต่อ ๆ กันไป  ซึ่งความจริงไม่รู้ว่าคุณครูเขาจะได้อ่านหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้  ผมว่าถ้าเราเปลี่ยนจากส่งข้อความลอย ๆ เป็นการแวะเยี่ยม  พูดคุย  ทักทายหรือโทรศัพน์หาท่านสักครั้งในแต่ละปี  หรือทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครูที่ล่วงลับไปแล้วก็น่าจะเข้าท่านะครับ  ความปลื้มปีติยินดีของคุณครูคงจะล้นเอ่อ มากกว่าการพร่ำเพ้อด้วยตัวอักษรในโลกออนไลด์   อยากเห็นลูกศิษย์ในมุมนี้บ้างครับ