วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เส้นทางเดินของชาวดิน

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...เส้นทางเดินของชาวดิน)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            บรรยากาศหลังฤดูกาลเก็บของชาวนาบ้านเราได้สิ้นสุดลงแล้วในช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี  หลังจากนี้ไปคงต้องรออีกนานกว่าครึ่งปีเลยทีเดียวที่จะถึงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร  ถ้าจะถามว่าช่วงเวลาที่รอคอยฤดูกาลใหม่นั้นพี่น้องเขาทำอะไรกันบ้าง  คงไม่สามารถจะเจาะจงไปได้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง  เพราะวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน  ผมรู้แค่เพียงว่าการอพยพแรงงานได้เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ

เสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ดังแว่วมาจากกระท่อมปลายนาของบัณฑิตนิค  บุรุษผู้หลงใหลและรักในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองอย่างเป็นที่สุด  ที่ผมกล่าวอย่างนี้เพราะว่าตั้งแต่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยในมหานครเขาก็กลับมาทำงานอยู่กับบ้านของตนเองมาตลอด  ประเด็นนี้นี่เองที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่ไมล์  ภิรมย์พร  ได้ขับร้องไว้ในอัลบั้มชุดที่13  (กำลังใจในแววตา)  ความไพเราะของเพลงเหมาะสมกับฉายาของเขาที่ว่านักร้องขวัญใจแรงงานคนจนจริงๆ  นั่นคือเพลงทางเดินชาวดิน  ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย  วสุ  ห้าวหาญ  นักประพันธ์เพลงมือระดับต้นๆของประเทศไทย
ความไพเราะของเพลงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเพลงคือการนำเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานได้แก่  โหวดกับแคน  มาเรียบเรียงเสียงประสานผสมผสานกับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างกลมกล่อมเป็นที่สุด  เพลงทางเดินชาวดินมีเนื้อร้องที่เกี่ยวกับการถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนทิ้งถิ่นฐานของคนในชนบทบ้านเรา  การต่อสู้ดิ้นรนของผู้ได้ถูกขนานนามว่า  “แรงงาน”  ได้อย่างกินใจมากจริงๆ
 
            นี่คือท่อนแรกของเพลงครับ  “นาแล้งแห้งผาก  ความชุ่มตีจากแผ่นดินอีสาน ลมร้อนขับไล่  ผลักไหล่ดอกจาน ให้จำลาก้านร่วงหล่นลงดิน  ดั่งลูกอีสาน พลัดถิ่นฐานที่เคยทำกิน  เข้ามาปลดเปลื้องหนี้สิน หยาดเหงื่อหลั่งริน  อยู่ในเมืองฟ้า”   จากเนื้อหาในท่อนแรกเราจะเห็นถึงเหตุผลของการพลัดถิ่นฐานเข้ามาใช้แรงงานในเมืองกรุง  ด้วยสาเหตุหนี่งก็คือความแห้งแล้งของพื้นที่และปัญหาหนี้สิน 
            การหลั่งไหลของแรงงานจึงยังเกิดขึ้นในทุกฤดูกาล  เกิดขึ้นในทุกสาขาอาชีพที่มีความมั่นคงน้อย  ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร  เด็กที่เรียนดี  หมอลำ  นักมวยหรือแม้แต่นางงาม  เหมือนเนื้อที่ร้องว่า  “ จากเด็กเรียนดีแต่วันนี้เป็นกรรมกร จากหมอลำชื่อเสียงกระฉ่อน  ต้องมาขับกลอนลำเดินขอทาน  นักมวยเงินหมื่นวันนี้ทั้งคืนต้องยืนล้างจาน  จากเป็นนางงามสงกรานต์สุดทางฝันเป็นสาวนั่งบาร์ ”  มันสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนอย่างนั้นจริงๆ

            ผมมีมุมมองจากเพลงทางเดินชาวดินอยู่สองคำถามคือ  หนึ่ง...  เวลา 8 ชั่วโมง  ของการทำงานให้กับบริษัทหรือโรงงาน  สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับคนอื่นนั้นมันคุ้มค่ากับหยาดเหงื่อแรงกายของเราหรือเปล่า?  สอง...ถ้าเราใช้เวลา 8 ชั่วโมงเท่ากัน  ทำงานบนพื้นดินของตนเองที่มีอยู่โดยใช้ความขยัน  ประหยัด  อดทน  อดออม  ชีวิตเราจะเป็นเช่นไรบ้าง? สองคำถามนี้น่าสนใจนะ  เพราะความสุขความมั่นคงของครอบครัวคือสิ่งที่มีความสำคัญ  จากครอบครัวเล็กๆๆๆก็จะต่อยอดไปยังประเทศที่มีความสุขในลำดับต่อไป  กลับมาอยู่บ้านเกิด  มาสร้างความสุขด้วยกันนะครับ  อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง...
           


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เบื้องหลัง...เม็ดข้าวที่สูกิน

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(เบื้องหลัง...เม็ดข้าวที่สูกิน)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ข่าวเกี่ยวกับราคาข้าวเปลือกตกต่ำเป็นวาทกรรมที่ชาวนาต้องพูดถึงกันทุกปี  หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหาวิธีการแก้ปัญหาช่วยเหลือพี่น้องชาวนาแตกต่างกันออกไป  นี่หรือคืออาชีพที่หลายๆคนให้คำนิยามว่า  “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”  ซึ่งวาทกรรมแบบนี้พูดเสมือนดั่งว่าชาวนานั้นเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างมาก  ควรค่าแก่การยกย่องเสียจริงๆ  แต่ความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ 

            ความสุขของชาวนานั้นอยู่ที่การได้ยลโฉมผลผลิตข้าวของตัวเองที่ได้ในแต่ละปี  แต่ความทุกข์ของพี่น้องชาวนาก็ตามมาเป็นเงาเช่นเดียวกัน  เมื่อได้ข่าวว่าราคาผลผลิตที่ทำมาตลอดทั้งปีนั้นขายไม่ได้ราคาตามที่ต้องการ  ความเหนื่อยยากความลำบากของอาชีพชาวนาจะมีใครสักกี่คนที่มองเห็นเบื้องหลังเหล่านั้นบ้าง
            จิตร  ภูมิศักดิ์  ได้เขียนบทกวีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทกวี "วิญญาณหนังสือพิมพ์ (คำเตือน...จากเพื่อนเก่าอีกครั้ง)" ที่เขาเขียนขึ้นในนามปากกาว่า "กวี ศรีสยาม" ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคม 2507 และกวีบทนี้ได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในปี 2518  เมื่อวงคาราวานได้นำบทกวีนี้มาใส่ทำนองกลายเป็นเพลงเปิบข้าวที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
            เพลงเปิบข้าว  ถือเป็นเพลงที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาในอดีตจนถึงปัจจุบันได้ชัดเจนและตรงที่สุด ด้วยคำร้องที่เป็นภาษากวี  ด้วยทำนองที่สั้นๆเรียบง่ายกลับไปกลับมาและเป็นแนวเพลงเพื่อชีวิตที่ถ่ายทอดการร้องโดยน้าหงา สุรชัย  จันทิมาทร  ยิ่งตอกย้ำถึงภาพชีวิตของชาวนาได้อย่างสมบูรณ์  ลองนั่งจินตนาการไปพร้อมๆกันนะครับ

“เปิบข้าวทุกคราวคำ  จงสูจำ เป็นอาจินต์  เหงื่อกู ที่สูกิน  จึงก่อเกิด มาเป็นคน
ข้าวดี ณ มีรส  ให้ชนชิม ทุกชั้นชน  เบื้องหลัง สิทุกข์ทน  และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรง มาเป็นรวง  ระยะทาง นั้นเหยียดยาว  จากรวง เป็นเม็ดพราว  ล้วนทุกข์ยาก ลำบากเข็ญ
เหงื่อหยด สักกี่หยาด  ทุกหยดหยาด ล้วนยากเย็น  ปูดโปน กี่เส้นเอ็น  จึงแปรรวง มาเป็นกิน
น้ำเหงื่อ ที่เรื่อแดง  และน้ำแรง อันหลั่งริน  สายเลือด กูทั้งสิ้น  ที่สูซด กำซากฟัน”
เพลงเปิบข้าวได้ใช้ถ้อยคำที่ประชดประชันถึงกลุ่มบุคคลที่มักดูถูกชาวนาว่าด้อยค่า  ให้รู้ว่าข้าวทุกเม็ดที่เขากินนั้น  ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแห่งความทุกข์ยากของชาวนาทั้งสิ้น  เป็นการสะกิดเตือนให้รู้ซึ้งถึงการต่อสู้ของชาวนาผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเอาแรงกายแรงใจต่อสู้กับธรรมชาติรวมถึงอำนาจการขูดรีดกดขี่ของเหล่าพ่อค้าคนกลาง 

นอกจากนั้นแล้วเพลงเปิบข้าวยังได้เล่าถึงชีวิตของชาวนาให้กับทุกคนได้ฟังอีกว่า  ข้าวทุกเม็ดที่คนไทยได้กินในแต่ละมื้อนั้นล้วนมาจากหยาดเหงื่อของชาวนา  ล้วนมาจากความทุกข์ยากลำบากของชาวนา  ยิ่งมาถึงวรรคที่ 3  4  และของเพลง  ยิ่งตอกย้ำอีกว่าข้าวแต่ละรวงนั้นมันมาจากแรงกายแรงใจของเขา  มาจากเหงื่อที่ไหลหยดจนเส้นเอ็นต้องปูดโปน  และมาจากสายเลือดของเขาทั้งสิ้น
            ความเหน็ดเหนื่อยต่อการประกอบอาชีพชาวนาที่ทำหน้าที่ปลูกข้าวให้คนทั้งชาติได้กินนั้นเหมาะสมที่สุดแล้วกับการเปรียบเทียบว่า  “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”  ซึ่งถือเป็นอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญ สมควรยกระดับให้ชาวนาเป็นอาชีพชั้นสูง  มีกฎหมายรองรับเพื่อความมั่นคงทางอาชีพ  แต่ถึงกระนั้นชาวนาเองก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง  พัฒนาความเป็นชาวนามืออาชีพ  ปรับปรุงคุณภาพของข้าวโดยเฉพาะการผลิตข้าวที่ปลอดจากสารเคมี  100  เปอร์เซ็นต์  ผมเชื่อว่าต้องขายได้และขายได้ในราคาที่สูงด้วย  ชาวนาต้องอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี  สามารถกำหนดราคาผลผลิตได้ด้วยตัวของเขาเอง  อยากเห็นชาวนาในมุมนี้บ้างครับ  สู้ๆๆๆๆเด้อ  ชาวนา


วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แสงเทียนดับลง...คงไว้ซึ่งปรัชญา

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(แสงเทียนดับลง...คงไว้ซึ่งปรัชญา)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                วันที่ 13  เดือนตุลาคม  พ.ศ.2559  เวลา  15.25 น.  น้ำตาของพสกนิกรชาวไทยหลั่งไหลและร่ำไห้กันทั้งแผ่นดิน  ด้วยพ่อที่ลูกๆให้ความจงรักภักดีได้เสด็จสวรรณคตสู่สวรรคาลัยแล้ว  เสมือนดั่งเปลวเทียนที่เคยสว่างไสวเจิดจ้าให้แสงสว่างแก่ลูกๆของพระองค์ในการดำรงชีวิต  มาบัดนี้ได้ดับลงอย่างสงบแล้ว  นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจของพสกนิกรชาวไทยทุกหย่อมหญ้า  เมื่อครั้งทราบข่าวการเสด็จสวรรณคตของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงไว้เป็นลำดับแรกนั่นคือบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน

“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า  สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน  โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน  หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ  ต่างคนเกิดแล้วตายไป  ชดใช้เวรกรรมจากจร”  บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียน หรือ  Candlelight Blues เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช  ซึ่งถือเป็นงานทดลองของพระองค์ในเพลงจังหวะบลูส์ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทยขึ้น
เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนองและคอร์ดบางตอนจึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมา บรรเลงในเวลานั้น  ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์ สดใส พันธุมโกมล) ได้ประพันธ์คำร้องเป็นภาษาอังกฤษถวาย  โดยคำร้องภาษาอังกฤษมิได้แปลมาจากคำร้องภาษาไทย หากแต่เขียนเกี่ยวกับผู้ที่สูญเสียคนรัก แต่ยังมีความคิดถึง ฝันถึงคนรัก และรอวันที่จะหวนกลับมา  บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนมีคำร้องที่ทรงคุณค่าและแฝงไว้ซึ่งปรัชญาดังนี้ครับ

“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า  สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน  หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ  ต่างคนเกิดแล้วตายไป  ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม  ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน  เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน     ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า  ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา  หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน  แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน
เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า  ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน  จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน  โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย  โรครุมเร้าร้อนแรงโรย  หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน  ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า  ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา  แสงเทียนบูชาจะดับพลัน  แสงเทียนบูชาดับลับไป”


บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้ พระองค์ได้คงไว้ซึ่งสัจธรรมแห่งการดำเนินชีวิตของบุคคลอย่างมีคุณค่าที่สุดและสอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” บทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนนี้ก็เช่นกัน  โดยบอกทุกคนว่าให้หมั่นทำบุญ เพื่อบุญจะได้คุ้มไปชาติหน้า  เหมือนดั่งท่อนเพลงที่ว่า  "ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน  ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่  เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด  ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า....."  การทำบุญทำทาน  การทำความดี  การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท  เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่พ่อได้ฝากไว้ในบทเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนครับ  อยากเห็นคนไทยทำดีถวายพ่อหลวง  ช่วยกันทำดีนะครับเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลส่งดวงวิญญาณพ่อสู่สวรรณคาลัย....

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ลานกีฬาชุมชน  สู่ฮีโร่โอลิมปิก

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(ลานกีฬาชุมชน  สู่ฮีโร่โอลิมปิก)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ... ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า”  นี่คือสร้อยเพลงที่คุ้นหูของคนไทยมายาวนานมากและทุกครั้งที่มีการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชน  ตำบล  อำเภอ  จังหวัดหรือระดับชาติ  จะมีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่สร้างบรรยากาศให้กับการจัดการแข่งขันกีฬาและเป็นการประกาศให้คนทั่วไปทราบว่า ณ ที่แห่งนั้นมีกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่รับรู้ได้โดยทั่วกันจะเป็นเพลงอะไรนั้นติดตามไปพร้อมๆกันนะครับ

                เพลงกราวกีฬาเป็นเพลงที่นิยมใช้ในการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา  ซึ่งประพันธ์คำร้องโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 โดยครั้งแรกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในสมัยนั้นเพียงเท่านั้น ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไปอย่างน่าอัศจรรย์ 
ตลอดระยะเวลากว่า  122  ปี  เพลงกราวกีฬายังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์และไม่มีเพลงใดๆเข้ามาแทนที่ได้เลย  เหตุผลประการหนึ่งเกิดจากการประพันธ์เนื้อร้องที่เป็นบทร้อยกรองและมีการใช้คำสัมผัสทุกวรรคทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสใน  ทำให้เกิดความไพเราะของภาษาสามารถจำและร้องตามได้ง่าย  ประกอบกับทำนองเพลงที่เรียบง่ายแบบไทยๆ  กล่าวคือมีทำนองสั้นๆวนไปวนมาเหมือนกับการอ่านบทอาขยาน  จึงทำให้เพลงกราวกีฬาติดหูคนฟังและมีความไพเราะทุกครั้งที่มีกิจกรรมแข่งขันกีฬา  ถือเป็นเพลงร่วมสมัยอีกเพลงหนึ่งที่มีความเป็นอมตะ

                เสน่ห์ของเพลงกราวกีฬานั้นอยู่ที่การร้องเพลงเชียร์นักกีฬาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความฮึกเฮิม  ปลุกใจนักกีฬาให้มีความกล้าหาญในการทำการแข่งขันกีฬา  เหมือนกับท่อนแรกที่ร้องว่า   พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ  เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ  คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ  คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน...”  ท่อนที่ของ2 เพลงกราวกีฬายังได้บอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาคือทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์  เมื่อร่างกายของคนเรามีความแข็งแรงแล้วการนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆก็จะตามมาเช่นกัน 
เพลงกราวกีฬาได้กล่าวถึงหลักสำคัญของความเป็นมนุษย์ไว้ในท่อนที่3และท่อนที่คือการมีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้  รู้ชนะ  รู้อภัยและการรู้จักเคารพกติกาของสังคม  การไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันรวมถึงความไม่เห็นแก่ตัวด้วย  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมได้  สุดท้ายคือความสามัคคีที่ประพันธ์ไว้ว่า   เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว  ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว  ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ”นั่นหมายถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทีมเวิร์ค  ซึ่งกลุ่มองค์กรหรือสถาบันต่างๆที่มีความสำเร็จล้วนเกิดจากความสามัคคีกันทั้งสิ้น


นอกจากเสน่ห์ของเพลงกราวกีฬาที่ได้กล่าวมาแล้ว  ผมยังมองเห็นจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่น่าจะนำไปสู่การพัฒนาในระดับจังหวัดหรือระดับชาติได้  นั่นคือ  การนำกีฬามาสร้างคน  แล้วนำคนมาสร้างชาติ  ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีลานกีฬาเพื่อออกกำลังกาย  โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านกีฬาให้กับเยาวชนในระดับฐานราก  ซึ่งเป็นวิธีการยกระดับความเป็นเลิศให้กับเยาวชนในชุมชนนั้นๆ  ไม่แน่นะครับลานกีฬาเล็กๆในชุมชนอาจจะสร้างฮีโร่ในกีฬาโอลิมปิกก็ได้ใครจะไปรู้  ช่วยกันนะครับอยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้างครับท่าน

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ต้นฉบับบทความวารสารที่นี่ศรีสะเกษ เดือนสิงหาคม59

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...(เส้นทางสายไหม... เส้นทางสายชีวิต)
โดย นุกูลกิจ  ทวีชาติ

                “แม่ฝากผ้าไหมลายลูกแก้วบนผืนสไบไว้ให้ลูกอย่างงดงาม..”.  นี่คือคำพูดที่เกิดขึ้นระหว่างการนั่งมองดูการทอผ้าไหมของน้องสาวในช่วงเวลาของการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดในครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงเพลงเพลง หนึ่งขึ้นมา  เดี๋ยวเล่าให้ฟังครับ



“ไหมแท้ที่แม่ทอ”  หนึ่งในบทกวีจากหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี2538 เรื่องม้าก้านกล้วยของไพวรินทร์  ขาวงาม  ได้นำมาทำเป็นบทเพลงลูกทุ่งให้กับนักร้องที่ชื่อต่าย  อรทัย  เป็นผู้ขับร้อง  โดยมีครูสลา  คุณวุฒิและไพวรินทร์  ขาวงาม  เป็นผู้เขียนทำนองและเรียบเรียงโดยธีระพงษ์  ศักดิ์แก้ว  เสน่ห์ของเพลงไหมแท้ที่แม่ทออยู่ตรงนี้ครับ  ประการแรกคือ คำร้องเป็นภาษากวีที่มีความสละสลวยของการใช้คำ     มีภาษาสัมผัสที่งดงาม ประการที่สองคือ ทำนองเพลงเกิดจากครูเพลงกับกวีซีไรต์ร่วมกันเขียนทำนองที่เรียบง่ายฟังสบาย  ประการที่สามคือ  การถ่ายทอดอารมณ์เพลงของนักร้องที่ยอดเยี่ยมและประการสุดท้ายคือ  การนำเอาเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาผสมผสานกับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างกลมกลืน

เพลงไหมแท้ที่แม่ทอ  เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สะท้อนถึงชีวิตของแม่ที่ปลูกหม่อมเลี้ยงไหมด้วยความตั้งใจ  เอาใจใส่ มีความรักในอาชีพการทอผ้าไหมและใส่ใจในรายละเอียดของการทอมาก  หวังเพื่อให้ได้ผ้าที่ดีมีความสวยงาม ดั่งเช่นเนื้อร้องที่บอกว่า “แม่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตั้งใจนัก  เรี่ยวแรงรักแม่ใช้เพื่อใฝ่ฝัน  อีกสาวไหมด้วยมือซื่อสัตย์มั่น  ทั้งทอมันละเมียดละไมใช้เวลา...”

ไหมแท้ที่แม่ทอยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน  ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นถึงความรักความตั้งใจของแม่ที่บรรจงทอผ้าขาวม้าให้ลูก  ผมเห็นภาพขณะที่แม่กำลังทอผ้าไหม  เห็นความรู้สึกผูกพันที่แม่มีให้แก่ลูกๆตลอดมา  บางช่วงบางตอนของเพลงยังทำให้เกิดจินตนาการได้ว่า  มือน้อยๆของแม่ที่ทอผ้านั้นอาจจะเคยทำร้ายตีลูกบ้างในบางครั้ง  แต่ถ้าคิดให้ดีๆก็จะเห็นว่ามือเดียวกันนี้แหละที่คอยดูแลปกป้องให้ลูกอยู่อย่างปลอดภัย
“สักวันหนึ่งถึงไม่มีชีวิตแม่  ลูกที่แท้ก็คงทอสืบต่อได้  แม่ก็ทอลูกก็ทอต่อเส้นใย  ผ้าชีวิตผืนใหม่จะต้องงาม” เพลงจบลงด้วยเวลา 4.30 วินาที โดยมีบทสรุปว่า แม่ยังคงทำงานหนัก  แม่ยังคงทอผ้าไหมผืนใหม่ต่อไปและสอนลูกสาวเกี่ยวกับการทำงานว่าให้เป็นแม่ศรีเรือนสืบทอดงานของแม่ต่อไปก่อนที่แม่จะหมดแรงและต้องพักไป  ต่อเนื่องกันแม่ก็ยังสอนลูกชายให้เป็นคนที่แข็งแกร่ง สู้งานที่หนัก  โดยมีประโยคสุดท้ายว่า  เมื่อถึงวันหนึ่งที่แม่ไม่อยู่แล้วลูกก็คงยังทอผ้าไหมต่อไปได้  เพื่อสืบทอดชีวิตจิตวิญญาณของแม่ที่ได้ฝากมรดกอันล้ำค่านี้ไว้อย่างงดงาม

ไหมแท้ที่แม่ทอ  นอกจากเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกๆแล้วสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและซ่อนอยู่ในเพลงนี้ได้แก่  วิถีชีวิตและอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาแต่โบราณนั่นคือ  การทอผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน  ซึ่งการทอผ้าไหมนั้นถือเป็นอาชีพที่มีคุณค่าเพราะผ้าไหมนั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากและระดับประเทศ  ผ้าไหมนั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน  ลองจินตนาการดูนะครับว่า  ถ้ามีหน่วยงานที่มารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงเพื่อมาส่งเสริมการผลิต  มาดูแลเรื่องงบประมาณ  มาดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์  มาจัดทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ  ไหมแท้ที่แม่ทอคงงดงามและมีชีวิตมากกว่านี้อย่างแน่นอน  อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้างครับ  ช่วยกันนะครับ

      

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทความวารสารที่นี่ศรีสะเกษ

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง...ตอน(ชีวิตสัมพันธ์)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “ ฝนตกพรำๆชุมฉ่ำลงดิน  ปลูกต้นไม้ทีไรต้องได้ตอบคำถามชาวบ้านทุกที  ปลูกทำไม?  ปลูกแล้วขายที่ไหน?  เมื่อไหร่จะโต?  ปลูกแล้วได้อะไร?  ต้นไม้ไม่เคยร้องกินข้าว  ไม่เคยร้องว่าหิวน้ำ  ลงมือปลูกลงดินแล้วต้นไม้มีแต่ให้มนุษย์  สักวันฉันจะเติบโตปลูกต้นไม้คืนอ๊อกซิเจนให้โลก ดอกเบี้ยเยอะแยะ...” คุณจะเชื่อหรือไม่ว่านี่คือคำบอกเล่าของชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งที่โพสน์ผ่านเฟสบุ๊คที่มีชื่อว่า  (Somthawin  Thawichat)  เมื่อผมได้อ่านโพสน์นี้แล้วทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาทันที  “ชีวิตสัมพันธ์”

                เพลงชีวิตสัมพันธ์ เป็นเพลงที่แต่งโดย ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ร่วมกับ อัสนี โชติกุล ขับร้องบันทึกเสียงโดยศิลปินเพลงเพื่อชีวิตรวม 8 คน เมื่อ 29 ปี  ที่ผ่านมา ด้วยความยาวของเพลงทั้งสิ้น  7.49  วินาที  เพลงนี้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในคอนเสิร์ต เวลคัม ทู อิสานเขียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก  ซึ่งมีเนื้อหาอุทิศแก่มวลมนุษยชาติกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโครงการอิสานเขียวของกองทัพบกในขณะนั้น อันเนื่องมาจากปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
               
ความไพเราะของเพลงชีวิตสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ท่อนIntro ที่มีเสียงดนตรีแบบเรียบง่ายฟังสบายและส่งด้วยเสียงเปียโนเบาๆให้กับน้าหงา  สุรชัย  จันทิมาทร  ร้องเป็นคนแรก  “เจ้านกเอย เจ้าเคยอยู่บนกอไผ่  กู่ขันบทเพลงจากใจ ชมไพรชมพฤกษ์พนา....”  ช่างเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆด้วยสำเนียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์  พลังเสียงและการถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์ของเพลง  ซึ่งท่อนแรกของเพลงนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของธรรมชาติผ่านนกและป่าไม้ว่ามีชีวิตที่สัมพันธ์กันและกัน  ท่อนที่สองนั้นขับร้องโดยยืนยง  โอภากุล  ว่า “กู่เรื่องราวบอกกล่าวถึงความรู้สึก  เป็นเพียงสามัญสำนึกและการห่วงหาอาทร ...”  ท่อนนี้ได้ส่งสัญญาณให้ทุกคนได้รู้ว่าเงาของต้นไม้ไม่มีให้เห็นเหมือนก่อนแล้วนะ  ต้นไม้บ้านเราลดน้อยลงไปมากแล้ว  จากที่เคยมีบรรยากาศที่เย็นสบายเดี๋ยวนี้ความร้อนความแห้งแล้งเข้ามาแทนที่
   

                วรรคต่อมาของเพลงชีวิตสัมพันธ์จึงมีการตั้งคำถามให้คนฟังได้คิดกันว่า  ระหว่างสิ่งที่ดีกับสิ่งไม่ดีเราควรเลือกแบบไหนและสิ่งที่ควรจะเป็นต้องทำอย่างไรบ้าง  เช่น “ความแห้งแล้งความชุ่มชื้นอย่างไหนที่เราชอบใจ...  มันอยู่ที่ความสมบูรณ์ของหมู่แมกไม้ต้นสายต้นน้ำลำธาร...”  การเดินทางของเพลงมาถึงนาทีที่  4.33  วินาที  ได้บอกให้เราได้รู้ว่าความเป็นจริงแล้วป่าไม้นั้นมีความสำคัญกับทุกชีวิตซึ่งจะขาดเสียมิได้เลยทั้งคน  สัตว์  และป่าไม้  จะต้องอยู่ด้วยกันพึ่งพาอาศัยกันไม่เบียดเบียนกัน  เหมือนคำร้องบางท่อนที่ร้องว่า  “คนหากินสัตว์หากินเราไม่เบียดเบียนกันและกัน  ต้นไม้งามคนงดงามงามน้ำใจไหลเป็นสายธาร  ชุบชีวิตทุกฝ่ายเบิกบานมีคนมีต้นไม้มีสัตว์ป่า” เสียงร้องยังคงสลับเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ

                เพลงชีวิตสัมพันธ์จบลงด้วยความสมบูรณ์พร้อมกับมีคำถามที่ตามมาว่า  ถ้าให้บำนาญชีวิตกับคนที่ปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้เหล่านั้นจนเจริญเติบโต  คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือไม่?  ผลตอบแทนของการทำหน้าที่เพิ่มออกซีเจนให้กับโลกที่เขาจะต้องได้รับก็คือ  ทุกๆปีจะได้รับเงินบำเหน็จจากการดูแลรักษาต้นไม้ตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดหรือให้เป็นทุนการศึกษากับลูกหลาน  เมื่ออายุ  60  ปี  จะได้รับเงินบำนาญชีวิตตามอัตราและสัดส่วนที่กำหนดจากจำนวนต้นไม้ที่ปลูกและต้นไม้ที่เจริญเติบโต  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองพิจารณาดูนะครับ  อยากเห็นศรีสะเกษในมุมแบบนี้บ้างครับ  ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้ามีสิ่งจูงใจแบบนี้คนจะหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้นหรือเปล่า? แล้วจังหวัดของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? “ ความสมดุลคือคุณตามธรรมชาติ  ดินน้ำลมฟ้าอากาศเติมวาดชุบชีวิตชน  หมู่ไม้พรรณอยู่กันมาหลายชั่วคน  ให้ใบให้ดอกให้ผลให้คนได้ผลประโยชน์”

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง (ตอนจดหมายถึงพ่อ)

อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี้บ้าง  (ตอน...จดหมายถึงพ่อ)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                ครอบครัวเป็นสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย  เพราะสถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของการหล่อหลอมและบ่มเพาะชีวิต  เมื่อสถาบันครอบครัวมีความมั่นคง  ภูมิต้านทานด้านต่างๆก็จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวนั้นๆ  จะเห็นได้จากครอบครัวที่มีความอบอุ่นซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกที่อาศัยอยู่ด้วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  ปัญหาต่างๆจะไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าใดนัก  ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันหรือไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า  ปัญหาย่อมมีให้เห็นตามมาไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นลูก

จดหมายถึงพ่อเป็นบทเพลงหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาของชีวิตและการอยู่ห่างไกลกันระหว่างพ่อแม่และลูก  ซึ่งเพลงนี้แต่งคำร้องและขับร้องโดยคุณอิทธิพล  วาทะวัฒนะหรือที่รู้จักกันในนามอี๊ด  ฟุตปาธ ศิลปินที่โด่งดังจากการเล่นเพลงเปิดหมวกแถวสนามหลวงมาตั้งแต่ปี2527
 เพลงจดหายของพ่อในท่อนแรกนั้นได้กล่าวถึงความเหินห่าง  ความห่างไกลและสภาพของครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน  โดยคุณพ่อได้ไปทำงานอยู่ต่างถิ่นห่างไกลจากครอบครัว  ส่งผลกระทบก็คือลูกขาดความอบอุ่นเกิดความรู้สึกคิดถึงคุณพ่อของตัวเองขึ้นมา ดั่งเนื้อร้องที่ว่า...   “  อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน  ก้านมะละกอที่พ่อเคยหว่าน แยกปลูกไม่นาน ลูกโตน่าดู...” จากท่อนเพลงดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า  ลูกๆทุกคนนั้นต้องการความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ของตนเอง
                                                         
ท่อนที่สองของบทเพลงจดหมายถึงพ่อยิ่งตอกย้ำความคิดถึงของคนที่เป็นลูก  บ่งบอกถึงห้วงของระยะเวลาที่คุณพ่อได้จากบ้านไปนานๆ  จนสามารถมองเห็นภาพตามเพลงได้เลยว่าสิ่งที่พ่อเคยปลูกเคยสร้างไว้นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง  เช่น  กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู  ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมาลองจินตนาการตามแล้วกันว่าจากต้นกระดังงาเล็กๆแล้วเลื้อยขึ้นซุ้มประตูนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหน  คงไม่ต่างกันกับระยะเวลาที่คุณพ่อออกจากบ้านเพื่อไปทำงานในต่างถิ่นอันแสนไกล  ซึ่งผู้เป็นแม่นั้นก็คอยอธิบายให้ลูกๆของตัวเองได้เข้าใจว่าเหตุผลที่พ่อได้จากลูกๆไปนั้นเพราะเรื่องเศรษฐกิจเกี่ยวกับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว  ดั่งบทเพลงที่ร้องว่า  “แม่อธิบายที่พ่อไปทำงาน เพื่อเงินเพื่อบ้านและเพื่อลูกยา  จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า มีหน้ามีตาเหมือนดังใครๆ”   
                                                       

เพลงจดหมายถึงพ่อของอี๊ด  ฟุตปาธ  สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมอย่างหนึ่งคือ  ปัญหาเด็กๆที่ขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่อันเนื่องมาจากภาวะของเศรษฐกิจ  ความลำบาก ความยากจน  ทำให้ต้องไปใช้แรงงานในต่างถิ่น  แนวทางการแก้ปัญหาอีกช่องทางหนึ่งคือ  การส่งเสริมให้ชุมชนมีการสร้างงานสร้างรายได้อย่างเหมาะสมเพื่อลดปัญหาการอพยพแรงงานและสร้างสถาบันครอบครัวให้มีความรักความเข้มแข็งและอบอุ่น  วิธีการนี้คงจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้างเพราะเด็กๆเขาต้องการความรักความอบอุ่นในครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใด  เหมือนท่อนสุดท้ายของบทเพลงที่ร้องว่า  “ส่วนน้องหญิงยิ่งยามเย็นค่ำ อ้อนประจำเหตุผลไม่ฟัง  ไม่เอาบ้านโตไม่เอาทุกอย่าง จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว”  ช่วยกันนะครับ  อยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง...

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี้บ้าง (น้ำตาอีสาน)

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี้บ้าง (น้ำตาอีสาน)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “ดิน..แยกแตกระแหงต้นไม้เฉาใบแรงไม่มี  ฝืนมองไร่นาน้ำตาปรี่ ไม่มีน้ำจะทำนา โถเวรบันดาล ให้ชาวอีสานสะอื้น กลืนกล้ำอุราไร่ปอแห้งตาย โอ้นายข้าโปรดเมตตาช่วยเหลือคนจน....”  บทเพลงน้ำตาอีสาน  จากปลายปากกาของครูเพลงชลธี  ธารทอง  ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(นักแต่งเพลงลูกทุ่ง)  ปี2542  ขับร้องโดยสายัณห์  สัญญา  ในอัลบั้มชุดที่ น้ำตาอีสาน  ดังแว่วมาจากหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน  ผมนั่งฟังเพลงนี้จนจบแล้วพยายามมองถึงภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่กับเนื้อหาของบทเพลงน้ำตาอีสาน  มันช่างสัมพันธ์กันอะไรได้ขนาดนี้  มีคำถามอยู่ว่าทำไมผมจึงต้องหยิบบทเพลงนี้ขึ้นมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ได้ฟังกันแล้วคนฟังจะได้อะไรจากบทเพลงนี้บ้าง? 

ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวกับฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง  มันช่างเข้ากับบรรยากาศเพลงน้ำตาอีสานจริงๆ  เพลงน้ำตาอีสานเป็นบทเพลงที่มีท่วงทำนองเศร้าน่าเห็นอกเห็นใจ  ท่อนแรกของเพลงจะกล่าวถึงบรรยากาศความแห้งแล้งของพื้นที่ภาคอีสานอย่างน่าหดหู่และน่าเห็นใจว่า  “ดิน..แยกแตกระแหงต้นไม้เฉาใบแรงไม่มี  ฝืนมองไร่นาน้ำตาปรี่ ไม่มีน้ำจะทำนา...”  นี่คือภาพที่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและบรรยากาศในฤดูแล้งของเขตพื้นที่อีสานไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว  ดินแห้งผาก  ต้นไม้เฉาแห้ง  ไม่มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค  


ท่อนที่สองของบทเพลงน้ำตาอีสานยังคงเล่าถึงสภาพปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกันกับท่อนแรกนั่นก็คือปัญหาน้ำท่วม  “เวรสาปบาปนำ  โอ้เวรซ้ำกระหน่ำกรรมอีกหน  น้ำนาป่ารวมท่วมปี้ป่น  บาปเบื้องบนหนุนซ้ำประดัง...”  น้ำท่วมถือว่าเป็นปัญหาที่ซ้ำซากเดิมๆ  เมื่อไหร่ที่มีฝนตกจะต้องเกิดปัญหาอุทกภัยตามมาตลอด  เช่น  น้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียหาย  น้ำท่วมที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเสียหาย  แนวทางการแก้ปัญหาที่เห็นจนชินตาในแต่ละฤดูกาลก็คือจะเห็นภาพของการระบายน้ำทิ้งเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นแบบนี้แทบทุกปีแล้วภาพต่างๆเหล่านั้นก็หายไปตามสายน้ำ


ชะตากรรมของชาวบ้านก็ยงคงแบกรับปัญหาอย่างนี้เรื่อยไปเหมือนดั่งเพลงน้ำตาอีสานท่อนสุดท้ายที่ว่า  “ทนอยู่สู้ชะตาเพื่อนพี่น้องไทยข้าโปรดปราณี  ขอเพียงข้าวเกลือช่วยเหลือที่  ไม่มีแล้วข้าวจะกิน...”  การบริหารจัดการกับปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืนนั้นถือเป็นวะระที่สำคัญมาก  มีคำถามอยู่ว่าเราจะทำอย่างไรปัญหาการแล้งซ้ำซากถึงจะหายไป?  เราจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้?     การกักเก็บน้ำในฤดูฝนให้ได้ปริมาณมากๆเพื่อนำไปใช้ในฤดูแล้งได้อย่างสมบูรณ์จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย  ผมอยากเห็นการบริหารจัดการความแห้งแล้งและการบริการจัดการน้ำของจังหวัดศรีสะเกษที่สมบูรณ์ยั่งยืนเป็นตัวอย่างของการศึกษาดูงานของคนทั่วประเทศครับ  อยากเห็นศรีสะเกษในมุมนี่บ้าง...ช่วยกันนะครับอย่าให้เป็นเหมือนเพลงน้ำตาอีสานเลยครับ    

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี่บ้าง(มุม...อีสานบ้านเฮา)

อยากเห็นศรีสะเกษ...ในมุมนี้บ้าง  (มุม...อีสานบ้านเฮา)
โดย  นุกูลกิจ  ทวีชาติ
                “หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา  แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ เขียดโม้เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน”  เสียงเพลงอีสานบ้านเฮา  จากผลงานปลายปากกาของครูเพลงพงษ์ศักดิ์  จันทรุขา  ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยลูกทุ่ง – ประพันธ์เพลง)  ประจำปี2557  ขับร้องโดยเทพพร  เพชรอุบล  ดังแว่วมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์ของลุงสมที่เป็นภารโรงของโรงเรียน  ในขณะที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับการซ่อมโต๊ะเก้าอี้เก่าๆไว้ให้นักเรียนใช้ในปีการศึกษาหน้าที่จะมาถึง  ณ  วินาทีนั้นกิจกรรมทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่วครู่เหมือนกำลังถูกมนต์สะกดทุกคนหยุดภารกิจทุกอย่างเพื่อฟังสาระจากเพลงอย่างตั้งใจ  “ม่วนเอยม่วนเสียงกบร้องอ๊บๆกล่อมลำเนา...”


                ระยะเวลา  3.26  วินาที  ของการฟังเพลงอีสานบ้านเฮา  ด้วยจังหวะที่สนุกสนาน  ทำนองที่ไพเราะประกอบกับการใช้ภาษาของคำร้องที่งดงาม  ทำให้อดคิดถึงภาพบรรยากาศและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ภาคอีสานเมื่อประมาณ  45  ปีที่ผ่านมาไม่ได้จริงๆ  โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีการทำไร่ทำนา  หากเรามองย้อนกลับไปตามระยะเวลาของอายุเพลงอีสานบ้านเฮาแล้วพบว่า  คนอีสานดั้งเดิมนั้นประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำนาโดยอาศัยควายเป็นแรงงานหลักในการไถนา  อาศัยแรงงานจากคนในครอบครัวและญาติพี่น้องในการปักดำ  ทุกคนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กินแบบพอเพียงพึ่งพาอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในการดำรงชีวิต  มีพืชผักต่างๆเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากมายให้เลือกรับปะทานกันตามฤดูกาล  มีกุ้ง หอย ปู ปลากินเป็นอาหาร มีกบ เขียดร้องระงมตามท้องไร่ท้องนาห้วยหนองคลองบึงในฤดูฝน  นี่คือธรรมชาติแห่งบ้านนาในอดีต 


                ภาพความทรงจำในอดีตที่สวยสดงดงามเหมือนเพลงอีสานบ้านเฮาบัดนี้ได้เลือนหายไปจากวิถีชีวิตของชาวนาอีสานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผักกะแยง  ผักอีฮีน ตอนนี้ไม่มีในทุ่งนาแล้วเพราะฤทธิ์ของยาฆ่าหญ้า ที่ชาวนาพากันฉีดพ่น  กบ เขียดจะนา เขียดโม่และเขียดขาคำก็ไม่มีร้องให้ได้ยินหลังจากฝนตกเพราะพิษของยาฆ่าแมลงไปทำลายเสียจนหมดสิ้น  ส่วนควายทุยก็ไม่มีให้เล็มหญ้าอ่อนตามคันนาอีกต่อไปแล้ว เพราะมีรถไถนาเข้ามาแทนที่เรียบร้อย  ธรรมชาติของบ้านนาฝนตกมาก็ไม่มีของให้กินอีกต่อไป  ต้องอาศัยตลาดหรือรถพุ่มพวงมาจอดถึงหน้าบ้านเป็นหลักแล้วก็ใช้เงินซื้อทุกอย่างที่ต้องการ  การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ความมั่นคงทางอาหารของคนอีสานหมดไปโดยสิ้นเชิง

                “มาเด้อมาซอยกันก่อ อีสานน้อ...บ้านของเฮา”  เสียงเพลงท่อนสุดท้ายจบลงพร้อมกับคำถามตามมาอีกมากมาย  เช่น  ทำอย่างไรผักกะแยง  ผักเม็ก  ผักกะโดน  ผักอีฮีน  ปลา  กบ  เขียดจะนา  เขียดขาคำ ฯลฯ  จะกลับคืนมาสู่แผ่นดินอีสานอีก? ทำอย่างไรความมั่นคงทางอาหารของเราจะกลับคืนมาเหมือนในอดีต?  ทำเช่นไรความอุดมสมบูรณ์ของทุ่งนาบ้านเราจะกลับคืนมาเหมือนเดิ ม? 
คำตอบเหล่านั้นคงอยู่ที่ชาวนาอีสานทุกคนแล้วล่ะครับ  เพราะว่าบทเรียนของการใช้ปุ๋ยเคมี  ยาฆ่าหญ้า  และยาฆ่าแมลง  สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเป็นตัวการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลาย      มีทางเดียวที่จะทำให้บรรยากาศเหมือนดั่งเพลงอีสานบ้านเฮาเมื่อประมาณ  45  ปี  กลับคืนมาได้คือ  หยุดการใช้สิ่งเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง...ผมอยากเห็นชาวนาจังหวัดศรีสะเกษในมุมนี้บ้างครับ  มุมที่มีบรรยากาศเหมือนเพลงอีสานบ้านเฮา  ขอแค่หมู่บ้านละ  ครัวเรือนนำร่องครับ