วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พลังที่บริสุทธิ์

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...พลังที่บริสุทธิ์)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            มาส่งยิ้มเปิดรับโอกาส  มาวาดฝันด้วยกันเยาวชน  ให้บ้านเมืองเรามีแต่  ความสุขล้น  ด้วยมือคนพลเมืองดี  มาสร้างสรรค์ให้เมืองศรีสะเกษ  ดินแดนเขตสำนึกรักท้องถิ่น พลังเยาวชน  พร้อมจะโบยบิน  สร้างสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม”  นี่คือพลังเสียงจากเยาวชนหลายร้อยคนของจังหวัดศรีสะเกษที่ช่วยกันเปล่งเสียงร้องเพลงเปิดใจฮักศรีสะเกษ  ได้อย่างมีพลังและผมเชื่อว่าเพลงนี้จะยังก้องอยู่ในใจของเขาอีกนานแสนนานกันเลยทีเดียว  แล้วเพลงนี้มันมีที่มาที่ไปยังไงตามผมมาเลยครับ 

            เพลงเปิดใจฮักศรีสะเกษเป็นแค่เพียงบทเพลงที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ในกิจกรรมเยาวชนของจังหวัดศรีสะเกษแบบเฉพาะกิจเท่านั้น โดยเพิ่ม  นุกูลกิจ  เป็นผู้ประพันธ์และมีโฟร์คซองจากวงด่านช้างมาช่วยกันบรรเลง  ซึ่งประกอบด้วยพี่ตุ๊(เพอร์คัทชั่น)  พี่ต้อม(กีตาร์โปร่ง)  พี่โต้ง(ไวโอลีน)  พี่วุธ(เมโลเดียน)และพี่เพิ่ม(กีตาร์โปร่ง-ร้องนำ)  ภายใต้โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ ปี3  โดยศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ  ร่วมกับมูลนิธิกัมมาจลและสำนักงานกองทันสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  ถ้าจะถามว่าเพลงเปิดใจฮักศรีสะเกษนั้นมีกระแสที่โด่งดังเหมือนเพลงทั่วๆไปหรือไม่  ผมตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่า “ไม่เลย”   แต่ผมคิดว่าเพลงนี้มันได้ทำหน้าที่ในการสื่อสารระหว่างเนื้อหาของบทเพลงกับกลุ่มเด็กและเยาวชนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษได้พอสมควร
   
             เมื่อวันที่2 ธันวาคม  พ.ศ.2560 ผมและน้องๆวงด่านช้างได้ไปเล่นดนตรีงานมหกรรมหนังกลางแปลง  “พลังเยาวชนพลเมืองรุ่นใหม่ทำดีเพื่อแผ่นดินเกิด”  ณ  ลานกิจกรรมโคปุระ  เกาะกลางน้ำห้วยน้ำคำ  จ.ศรีสะเกษ  บรรยากาศของงานจัดได้ดีมากๆ  ประทับใจสุดๆก็ตอนที่เด็กและเยาวชนช่วยกันร้องเพลงที่ผมแต่งให้ได้อย่างมีพลัง   มาส่งยิ้มเปิดรับโอกาส  มาวาดฝันด้วยกันเยาวชน  ให้บ้านเมืองเรามีแต่  ความสุขล้น  ด้วยมือคนพลเมืองดี ....”  อย่างน้อยเด็กๆก็ได้ความภาคภูมิใจล่ะ  ว่าครั้งหนึ่งเขาคือพลเมืองดีศรีสะกษนะ  เขาคือผู้ที่มีส่วนสร้างสรรค์กิจกรรมสำนึกรักท้องถิ่นในบ้านเกิดของตัวเองและได้ทำอะไรให้กับส่วนรวมในช่วงที่เป็นเด็กและเยาวชนซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสดีๆแบบนี้จากผู้ใหญ่ใจดีในสังคมปัจจุบัน 
เด็กๆยังคงร้องเพลงต่อไปจนมาถึงท่อนแยกของเพลง “มาเปิดใจรักฮักศรีสะเกษ  เพราะเราเป็นคน
รุ่นใหม่  จะอยู่แห่งไหนก็รักศรีสะเกษ  ก็บ้านเรามีแต่คนมีน้ำใจ  ไม่เคยเห็นแก่ตัว”  ในท่อนฮุคนี้เด็กและเยาวชนเขาจะได้มุมมองใหม่ๆ นั่นก็คือ มุมมองของคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาที่จะเปิดหัวใจเรียนรู้การมีส่วนร่วมในการพัฒนาและรักบ้านเกิดของตัวเอง  การกลับมามองบ้านเกิดในฐานะพลังเยาวชนรุ่นใหม่ที่บริสุทธิ์อย่างคนที่มีน้ำใจคนที่ไม่เห็นแก่ตัวถือว่าคุ้มค่ามากกับประโยคของเพลง  แล้วมาจบลงที่ท่อนสุดท้ายของเพลงที่ว่า  “มาส่งยิ้มเปิดรับวันใหม่  ด้วยหัวใจรักและชื่นบาน  เมื่อเยาวชนจับมือประสาน  เป็นพลังในการพัฒนาศรีสะเกษบ้านเรา”

            หลังจากกิจกรรมโครงการเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ  ปี3  ผ่านไปได้ไม่นานผมมีโอกาสได้พูดคุยกันกับน้องพิมพ์  น.ส.พิมพ์จันทร์  ชอบชื่น  นักเรียนชั้นม.6/5  โรงเรียนปรางค์กู่  หนึ่งในเยาวชนกลุ่มSpykidsเยาวชนบ้านขี้นาค  ต.ตูม  อ.ปรางค์กู่  จ.ศรีสะเกษ  น้องเขาเล่าให้ผมฟังว่าเพลงเปิดใจฮักศรีสะเกษมีส่วนช่วยให้เขารู้สึกรักบ้านเกิดขึ้นมา  อยากที่จะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม  มีความตระหนักถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้สามารถช่วยขับเคลื่อนและแก้ปัญหาสังคมได้  สร้างจิตสำนึกให้เราเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว  น้องพิมพ์ยังบอกอีกว่าเวลาร้องเพลงเปิดใจฮักศรีสะเกษแล้วรู้สึกฮึกเหิม  มีกำลังใจ  ดนตรีโฟร์คซองวงด่านช้างก็เล่นสนุกดี  ร้องเพลงเข้ากับบรรยากาศของงาน  มีมุกตลกให้ได้สนุกสนานขำขันบางช่วงบางตอนและเพลงที่นำมาร้องก็เข้ากับบรรยากาศของงานค่ะ


            คำถามสุดท้ายที่คุยกับน้องพิมพ์  คือ  การจัดโครงการในลักษณะนี้มีประโยชน์กับเด็กๆและเยาวชนอย่างไรบ้าง? และให้เชิญชวนเพื่อนๆเยาวชนมาร่วมโครงการ...  น้องพิมพ์บอกเลยว่าเป็นโครงการและกิจกรรมที่ดีมากๆเลยค่ะ  เพราะว่า  ทำให้เราได้รู้จักตัวเองและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นค่ะ  ได้พัฒนาทักษะต่างๆมากมาย  ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วยค่ะ  สุดท้ายก็อยากจะเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนได้เข้ามาทำกิจกรรมดีๆแบบนี้เพราะว่าโอกาสที่เราจะได้ทำสิ่งดีๆแบบนี้นั้นหายากมาก  และยังทำให้รู้สึกรักบ้านเกิดซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราเติบโตขึ้นเป็นอนาคตของชาติที่ดีได้.....ครับอยากเห็นเด็กและเยาวชนของจังหวัดศรีสะเกษในทุกพื้นที่อย่างมุมนี้บ้างครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ปรากฎการณ์...แสงสุดท้าย

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  ปรากฎการณ์...แสงสุดท้าย
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ถ้าจะถามถึงปรากฎการณ์ทางธรรมชาติแล้วหลายๆคนคงพอจะคาดเดาได้ว่ามันมีปรากฎการณ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ของเรา  แต่ถ้าจะถามว่ามีปรากฎการณ์อะไรบ้างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นแล้วได้รับการยอมรับจากสังคมในภาพรวมนี่สิมันหาคำตอบได้ยากกว่า  เมื่อประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งขึ้นมาบนบ้านเรา  ผมเรียกมันว่า  “ปรากฏการณ์แสงสุดท้าย”

            ปรากฎการณ์แสงสุดท้ายผมได้มาจากชื่อเพลงเพลงหนึ่งของวงดนตรีประเภทร็อกสัญชาติไทยที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นของบ้านเรานั่นคือวงบอดี้สแลม  โดยมีอาทิวราห์  คงมาลัย  เป็นนักร้องนำ  เสน่ห์ของวงดนตรีประเภทนี้นั้นอยู่ตรงแนวเพลงที่บรรเลงอย่างหนักแน่นด้วยโทนเสียงของกลองชุด  เบส  กีตาร์ไฟฟ้าเป็นหลักด้วยเสียงที่ดังเร้าใจจึงทำให้แนวเพลงร็อกเข้าไปอยู่ในใจของวัยรุ่นได้ไม่ยากนัก  เช่นเดียวกับเพลงแสงสุดท้ายที่ผมกำลังพูดถึง
            เพลงแสงสุดท้ายถ้าเราฟังแบบผิวเผินก็จะมีคำถามในใจว่า  เพลงอะไรก็ไม่รู้ทำไมเสียงดังแสบแก้วหูเหลือเกิน  ไหนจะเสียงเบสที่ดังขึ้นต้นลอยมาแล้วสอดประสานรับกันกับกลองชุดและกีตาร์ไฟฟ้าก่อนที่นักร้องจะร้องรับด้วยเทคนิคที่ทำให้มีเสียงแหบนิดๆว่า  รอนแรมมาเนิ่นนานเพียงหนึ่งใจ กับทางที่โรยเอาไว้ด้วยขวากหนาม ...ชีวิตถ้าไม่ยากเย็นขนาดนั้น  สองมือจะมีเรี่ยวแรงขนาดไหน  แต่หัวใจของคน ยังยืนยันจะไม่ถอดใจ...  ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ แต่ฉันยังคงก้าวไปยังคงมีรักแท้เป็นแสงนำไปในคืนที่หลงทาง…  ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร  จะไปจนถึงแสงสุดท้าย”

            ลองคิดดูเล่นๆนะครับว่าถ้าเราลองเอาเนื้อร้องทั้งหมดของเพลงแสงสุดท้ายจากวงบอดี้สแลมมากางออกแล้วเราจะเห็นอะไรในนั้นบ้าง?  สิ่งที่ผมสามารถสัมผัสได้และเกิดแง่คิดเกี่ยวกับเพลงแสงสุดท้ายนั้นสามารถแบ่งออกเป็น  ประเด็นหลักๆ  คือ  หนึ่งการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปมันจะต้องมีขวากหนามเจออุปสรรคต่างๆบ้าง  สองอุปสรรคหรือขวากหนามแหลมคมที่คอยทิ่มแทงเรานั้นมันจะทำให้เราเป็นคนที่มีความเข้มแข็งขึ้น  สามความสำเร็จใดๆก็ตามย่อมเกิดขึ้นได้จากความความตั้งใจและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น  และประเด็นสุดท้ายการใช้ชีวิตของคนเรานั้นจะต้องมีจุดหมายมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเดินตามความฝันนั้นด้วยความมุ่งมั่นจนประสบความสำเร็จ ขอเพียงแค่มีหัวใจที่หนักแน่นและไม่ยอมแพ้  เหมือนวลีหนึ่งที่ว่า ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไรจะไปจนถึงแสงสุดท้าย”

            ปรากฎการณ์แสงสุดท้ายยังไม่จบลงเพียงเท่านี้เมื่อนายอาทิวราห์  คงมาลัย  หรือตูนร์บอดี้สแลม  ได้คิดทำโครงการก้าวคนละก้าว  วิ่งด้วยระยะทาง  2,191  กม.  จากสุดเขตแดนใต้  อำเภอเบตง  จังหวัดยะลา  ไปจนถึงเหนือสุดแดนสยาม  อำเภอแม่สาย  จังหวัดเชียงราย  เพื่อรับบริจาคเงินจำนวน  700 ล้านบาทจากคนไทยนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์บริจาคให้กับ  11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ  ผ่านมา  13 วัน  ยอดบริจาคอยู่ที่  200  ล้านบาท  นี่คือปรากฎการณ์แสงสุดท้ายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเพื่อนมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไรบ้างนั้นผมไม่รู้  ผมไม่สามารถตอบแทนใครได้  ผมรู้เพียงว่าการคิดดีและการทำดีเพื่อสังคมนั้นหายากขึ้นทุกวัน  แต่ก็ยังมีให้เห็นพอได้ชื่นใจอยู่บ้างทั้งที่เห็นออกในสื่อและไม่ออกสื่อก็ตาม 

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่คิดดีทำดีนะครับ  สุดท้ายอยากจะบอกว่าปรากฎการณ์แบบนี้มันบอกให้เรารู้ว่าสังคมไทยยังต้องการคนประเภทนี้อยู่อีกเยอะมากมาก  ใครที่พอมีบ้างที่จะแบ่งปันสังคมได้ก็เชิญลงมือเลยครับ  มา สร้างสิ่งดีๆตามกำลังของตนกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมนูไข่...อร่อยแท้อยากกิน

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  เมนูไข่...อร่อยแท้อยากกิน
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ถ้าพูดถึงรายการอาหารที่คนทั่วไปรู้จักและนิยมบริโภคกันตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงตลอดไปจนถึงคนแก่คนเฒ่าคนชราแล้วคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไข่คือวัตถุดิบลำดับต้นๆทีคนเรานำมาใช้ประกอบอาหารและรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  ถ้าพูดถึงเมนูอาหารที่เกี่ยวกับไข่ล่ะคุณคิดถึงเมนูอะไรบ้าง  เมนูไข่ไม่ได้ให้คุณค่าทางอาหารที่เป็นโปรตีนเท่านั้นแต่เมนูไข่ยังให้ความสุขทางใจแก่ทุกคนและให้ปรัชญาการดำเนินชีวิตแบบพอเพียงอีกด้วย  เชื่อหรือไม่เชื่อเดี๋ยวผมจะเล่าสู่ฟัง
            เมนูไข่เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่คือลำดับที่48  โดยพระองค์ทรงประพันธ์ทำนองและสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ทรงประพันธ์เนื้อร้อง  บทเพลงเมนูไข่นี้ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่พฤษภาคม  พ.ศ.2538 เพื่อพระราชทานเป็นของขวัญวันพระราชสมภพ  ครบ  72  พรรษา  ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา  กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  ด้วยพระองค์ทรงรำลึกได้ว่าสมเด็จพระเชษฐาภคินี  โปรดเสวยพระกระยาหารไข่  ทำให้ทรงเกิดแรงบันดาลพระราชหฤทัยให้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น  กอรปกับพระองค์ทรงพบโคลงสี่  “เมนูไข่”  ที่สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  ทรงนิพนธ์ไว้เมื่อปีพ.ศ.2518 
เพลงเมนูไข่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9  ได้โปรดพระราชทานให้พลเรือตรีหม่อมหลวงอัศนี  ปราโมช  นำไปเรียบเรียงเสียงประสาน  เพื่อให้วงดนตรี  อ.ส.วันศุกร์  บรรเลงและขับร้องในงานพระราชทานเลี้ยงฉลองสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา  กรมหลวงนราธิราชนครินทร์ ณ  ศาลาดุสิดาลัย  เมื่อวันที่พฤษภาคม  พ.ศ.2538
             บทเพลงพระราชนิพนธ์เมนูไข่มีความงดงามที่น่าประทับใจของทำนองเพลงที่มีลักษณะสั้นๆ  กระชับ  ฟังแล้วเกิดความสุขสนุกสนาน  โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆคือ  ส่วนของทำนองหลักในท่อนแรกของเพลงกับส่วนของทำนองท่อนแยกในท่อนที่สองของเพลงซึ่งมีการบรรเลงสลับกันไปมา  ความพิเศษของเมนูไข่อีกอย่างหนึ่งคือ  ฟังเพลงแค่รอบเดียวก็สามารถจำทำนองเพลงได้ซึ่งวิธีการคิดทำนองแล้วสามารถทำให้คนฟังคล้อยตามได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้หาได้ยากมากสำหรับคนทั่วๆไป  ซึ่งถือได้ว่าพระองค์ทรงมีความเป็นอัจฉริยะภาพทางดนตรี  เป็นอัครศิลปินและคีตราชันย์โดยแท้จริง
            เนื้อร้องของเพลงเมนูไข่เป็นลักษณะโคลงสี่ที่ใช้ภาษาแบบเรียบง่ายเข้าใจในสำนวนได้ไม่ยากนักสอดรับกับทำนองเพลงอย่างเหมาะสม  สามารถร้องตามได้อย่างเพลิดเพลิน  มาดูความเป็นกวีของเนื้อร้องบทเพลงเมนูไข่กันครับ
“เมนูไข่เมนูไข่ อร่อยแท้อยากกิน
เมนูไข่เมนูไข่ อร่อยแท้อยากกิน
ไข่เค็มไข่ลวกทั้ง ไข่หวาน
กับไข่ต้มสุกนาน เยี่ยวม้า
เมนูไข่เมนูไข่ อร่อยแท้อยากกิน
ไข่ตุ๋นรสเยี่ยมปานรสทิพย์
ไข่ไก่โอ้เอี่ยมอ้า อร่อยแท้อยากกิน
           
เมนูไข่บทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับสุดท้าย(48)  มีคุณค่ามากกว่าเมนูไข่ธรรมดาทั่วๆไปเพราะเมนูไข่จานนี้แฝงไว้ซึ่งปรัชญาการใช้ชีวิตของคนเราให้มีความพอดี  เรียบง่าย  มีคุณค่า  อยู่อย่างพอเพียงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทรงตรัสไว้  ถ้าถามว่าเราได้อะไรจากบทเพลงเมนูไข่บ้าง  ผมคนหนึ่งล่ะที่ตอบได้อย่างเต็มปากว่า  ผมมองเห็นความเรียบง่ายของการใช้ชีวิต  ความไม่ฟุ้งเฟ้อ  การไม่ทำอะไรเกินตัวรู้จักความพอประมาณและการทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์และมีคุณค่าทั้งกับตัวเองและส่วนรวม 

สรุปว่าเมนูไข่จานนี้อร่อยมากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง  อย่าลืมนำสิ่งที่ได้จากเมนูนี้ไปต่อยอดกันนะครับ  ผมคิดว่าคงจะเกิดอะไรขึ้นอีกหลายอย่าง  เพราะบทเพลงเมนูไข่กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านที่ทรงตรัสสอนคนไทยทุกคนว่า  “ให้รู้จักพอประมาณ  รู้จักการสร้างภูมิคุ้มกัน  เป็นผู้ที่มีเหตุผล  มีความรู้  มีคุณธรรม”  ความสุขของชีวิตก็อยู่ที่นี่แหล่ะครับ.....เมนูไข่

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

เส้นทางปฏิวัติของลุงฟาง

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (เส้นทางปฏิวัติของลุงฟาง)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินชื่อของลุงแก่ๆคนหนึ่งชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “มาซาโนบุ  ฟูกูโอกะ” มาบ้างและคงเคยอ่านหนังสือปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียวมาบ้างแล้ว  แต่ถ้าไม่รู้จักหรือไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนผมแนะนำว่าให้ลองหามาอ่านสักครั้ง  เพราะมันเหมือนเป็นการเปิดมุมมองพลิกกลับทฤษฎีอีกด้านหนึ่งที่ถูกครอบมายาวนาน  แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆเพลงนี้จะทำให้คุณรู้จักตัวตนของเขาเพิ่มขึ้น  “ลุงฟาง”

เพลงลุงฟางขับร้องและประพันธ์โดยศิลปินเพื่อชีวิต  แอ๊ด  คาราบาวหรือนายยืนยง  โอภากุล  เป็นเพลงในอัลบั้มชุดที่16  หัวใจยังรักควาย  เมื่อปีพ.ศ.2538  เพลงลุงฟางมีเสน่ห์ที่ชวนฟังอยู่สองประเด็นหลักคือ  ประเด็นแรกเรื่องการเรียบเรียงดนตรีที่มีความเป็นสากลโดยใช้เสียงกีตาร์โซโล่ขึ้นมาให้มีความโดดเด่นในท่อนIntro  และเปลี่ยนมาเป็นเสียงกีตาร์คอร์ดที่โอบอุ้มเสียงร้องได้อย่างสมดุล  ประการที่สองคือเนื้อร้องโดยมีการเกริ่นนำสู่เรื่องราวบรรยากาศ  มีเนื้อหาและสรุป  ทำให้คนฟังสามารถจินตนาการตามและเห็นภาพที่ชัดเจน
เพลงลุงฟางได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงของชาวนาญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ชื่อว่า มาซาโนบุ  ฟูกูโอกะ  ฟูกูโอกะ ชายผู้ที่กลับคืนสู่วิธีธรรมชาติด้วยการทำนาโดยไม่ต้องทำนา  โดยท่อนแรกของเพลงได้เล่าให้เห็นถึงบรรยากาศของกระท่อมฟางที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ห่างไกลผู้คน  ส่วนท่อนที่สองของเพลงได้กล่าวถึงความสมบูรณ์ของพื้นที่ของลุงฟางและแนวคิดวิธีการจัดการพื้นที่แบบพึ่งพาธรรมชาติ  และท่อนที่สามกับท่อนที่สี่ผู้แต่งได้เล่าถึงความสุขของการใช้ชีวิตของลุงฟางแบบพึ่งพาอาศัยกันของคนกับธรรมชาติยึดถือธรรมะและความสันโดษในการดำเนินชีวิต

จุดที่น่าสนใจของเพลงลุงฟางอยู่ตรงนี้ครับ  เสียงไก่ป่าขัน  ตะวันโผล่พ้นภูผา  แหวกกอข้าวกล้าถั่วงางอกแซม  ไม่ไถไม่พรวน  ไม่วางยาฆ่าแมลง  คนพืชมดแมงร่วมมือทำนา  พอฝนโปรยฟ้าโรยร่วมแรงผลผลิตงดงามก็ตามมา  ทำนาโดยไม่ต้องทำนา  เก็บเวลาไว้คุยกับตะวัน”  ท่อนนี้ได้ซ่อนถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยการ ทำนา โดยไม่ต้องทำนา ตามวิถีโบราณ คือ ไม่ไถพรวนดิน  ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือทำปุ๋ยหมัก  ไม่กำจัดวัชพืชไม่ว่าด้วยการถากถางหรือใช้ยากำจัดวัชพืชและไม่ใช้สารเคมี ซึ่งขนบวิธีการที่ไม่ทันสมัยแบบนี้มันจะช่วยเรื่องการสร้างความสมดุลทางธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลาย  ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อคนและสัตว์สามารถปรับปรุงการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมให้ดีขึ้น  สุดท้ายก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพปราศจากสารพิษ  ลดต้นทุนการผลิตและใช้แรงงานน้อย  นี่คือทางรอดนี่คือทางเลือกของชาวนาในปัจจุบัน

เชื่อหรือไม่ว่าแบบแผนการทำนาในปัจจุบันกับวันที่เทคโนโลยียกระดับขีดความสามารถไปข้างหน้าเพื่อสนองต่อความต้องการบริโภคจำนวนมากของคนบางกลุ่มส่งผลให้บริษัทข้ามชาติ และในชาติหลายรายผลิตสารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นการเติบโตของพืชผลให้แก่เกษตรกรนำออกขายสู่ตลาดอย่างไร้ขอบเขตการควบควบคุม  ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไปเสียหมดสิ้น  ท้องไร่ท้องนาเต็มไปด้วยสารเคมีและยาแมลงซึ่งผลผลิตที่ได้มานั้นก็เต็มไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นเดียวกัน

ทางรอดหนึ่งจะต้องมาจากการปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียวอย่างเฉกเช่นกับลุงฟาง  มาซาโนบุ  ฟูกูโอกะ  อยากเห็นการกลับมาของท้องไร่ท้องนาอย่างเฉกเช่นในอดีต  ไม่ไถพรวนดิน  ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืชและไม่ใช้สารเคมี  ลองดูนะครับอยากเห็นบ้านเราในมุมนี้บ้าง

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทความเรื่อง ออกกลางครรภ์

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง(ตอน...ออกกลางครรภ์)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากโรงเรียนเลิกแล้วผมมีโอกาสออกไปสัมผัสกับชุมชนพบปะกับผู้ปกครองและเยี่ยมบ้านนักเรียนตามบทบาทและหน้าที่ของครูที่ปรึกษา  แค่บ้านหลังแรกเท่านั้นแหล่ะครับ  บอกได้เลยว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกศิษย์ผมน่าสงสารมากและมีหลายคนหลายครอบครัวอีกด้วย  ระหว่างที่นั่งพูดคุยกับผู้ปกครองอยู่นั้นเสียงเพลงจากบ้านข้างๆก็ดังขึ้น  เสมือนหนึ่งว่าเราได้นัดกันไว้เลยทีเดียว

“นับตั้งแต่เธอจำความได้ก็ไม่เห็นหน้าพ่อและแม่  เด็กหญิงคนนี้เธอเป็นเด็กกำพร้า  พ่ออยู่แห่งหนใด แม่อยู่แห่งหนใด  เก็บคำถามนี้ไว้ในใจตลอดมา...” เพลงถามยายของศิลปินปู  พงษ์สิทธิ์  คัมภีร์  ตอกย้ำความรู้สึกและสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในช่วงปี  พ.ศ.2533  ได้อย่างตรงไปตรงมาจนถึงปัจจุบัน  ตลอดระยะเวลา  33  ปี  นับจากวันแรกของการเปิดอัลบั้มเสือตัวที่11  เชื่อมั้ยครับว่าปัญหานั้นยังคงมีอยู่จริงในปัจจุบันและเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ
คุณยายแก่ๆซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนเล่าเรื่องราวให้ผมฟังว่า...  “พ่อกับแม่ของน้องแยกทางกันตั้งแต่น้องยังเล็กๆ  ต่างคนต่างไปแต่งงานใหม่และไม่กลับมาอีกเลย  ตัวเองต้องทำหน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูหลานตั้งแต่แบเบาะ  ทุกวันนี้เขาก็เรียกยายว่าแม่ทุกคำนะ  แต่ก็ห่วงๆเขาเหมือนกันนะครู  พักหลังเขาชอบออกนอกบ้านบ่อยมาก  บอกว่าไปทำการบ้านกับเพื่อน  กลับมาก็ดึกๆดื่นๆครู  บางวันก็นอนค้างบ้านเพื่อนกลับมาอีกทีก็เช้าเลย  ครูช่วยยายหน่อยนะ  อบรมสั่งสอนให้หน่อย  ยายไม่อยากให้เป็นเหมือนแม่เขา” 

เพลงถามยายจากบ้านข้างๆยังคงทำหน้าที่ของตัวเองมาถึงท่อนที่ว่า  “เด็กหญิงเธอเริ่มสาวแล้ว  เริ่มคบเริ่มรักเพื่อนชาย  ไม่รู้เขาหมายอย่างเดียวก็คือความสาว  ทอดกายให้เขาเชยชมพอสมใจเขาตีจาก  คิดได้ก็สายเกินไปเขาไม่กลับคืน”  ผมพอคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้แหล่ะที่เป็นความกังวลของยายหรือแม้แต่ผู้ปกครองคนอื่นๆ  เหตุผลเพราะว่ายายเคยมีบทเรียนในอดีตที่เลวร้ายมาแล้วและไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์นั้นกลับมาซ้ำรอยเดิมอีก  นั่นหมายถึงการสูญเสียอนาคตทางการเรียนของลูกสาวคนเดียวในไส้แท้ๆ
“หลานยายจากไปหลายเดือน  ก็หวนคืนกลับมาใหม่  ทิ้งลูกน้อยเอาไว้ให้ยาย แล้วหลบหาย”  ท่อนสุดท้ายของเพลงถามยายยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนฟังเข้าไปอีก  มันสะท้อนปัญหาการท้องก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นโดยเฉพาะในวัยที่กำลังเรียนหนังสืออย่างชัดเจนและนับวันปัญหานี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  มันเกิดจากอะไรนั้นเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำกลับไปถกกันต่อ  แต่ผมมองถึงความไม่พร้อมด้านข้อมูลหรือองค์ความรู้ด้านเพศศึกษาที่จะช่วยในการตัดสินใจของวัยรุ่นวัยเรียนมากกว่าประเด็นอื่น
 
เด็กมีข้อมูลที่ถูกต้องน้อยมากขาดทักษะในการปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์  หรือว่าประเทศของเราเขาไม่ให้พูดเรื่องแบบนี้กัน  ผมอยากเห็นหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องลงมารับผิดชอบปัญหาเด็กท้องก่อนวัยอันควรที่ต้นเหตุครับ   เรามาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเขาจะดีไหม  อยากเห็นบ้านเมืองเราในมุมนี้บ้าง...


วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทความเรื่องกาพย์เซิ้งบั้งไฟ หัวใจศีลธรรม

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (กาพย์เซิ้งบั้งไฟ...หัวใจศีลธรรม)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            "โอ เฮา โอ ศรัทธา เฮาโอ...  ขอเหล้าเด็ดนำเจ้าจักโอ...  ขอเหล่าโทนำเจ้าจักถ้วย...  หวานจ้วยจ้วย ต้วยปากหลานชาย…  นี่คือหนึ่งวลีเด็ดที่เคยได้ยินได้ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่ขับร้องขณะแห่เซิ้งบั้งไฟไปรอบๆหมู่บ้านด้วยความสนุกสนาน  ส่งสัญญาณว่าบุญเดือนหกของชาวอีสานนั้นเริ่มขึ้นแล้ว

บุญบั้งไฟหรือบุญเดือนหกถือเป็นประเพณีของชาวอีสานตามหลักฮีตสิบสอง  ครองสิบสี่  ที่ถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ  ประเพณีบุญเดือนหกนี้มีส่วนในการสร้างเสริมกำลังใจแก่ชาวบ้านและเป็นการเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวอีสาน งานบุญบั้งไฟแต่โบราณนั้นมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลจะได้ใช้น้ำในการทำนา   เพื่อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารมีความอุดมสมบูรณ์  ซึ่งมิรู้ว่าทุกวันนี้วัตถุประสงค์ดังกล่าวยังคงเหมือนเดิมหรือไม่?
การจุดบั้งไฟของชาวบ้านนั้นมีหลักความเชื่อและความศรัทธาอยู่สามประการดังนี้  ประการแรกการจุดบั้งไฟนั้นเพื่อบูชาพระยาแถน เพื่อบอกกล่าวให้ท่านดลบันดาลให้ฝนตกลงมาสู่โลกมนุษย์ตามนิทานพื้นบ้าน เรื่อง พญาคันคาก  ประการที่สองจุดบั้งไฟเพื่อบูชาอารักมเหสักข์หลักเมือง เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลหรือคารวะเจ้าพ่อมเหสักข์หลักเมือง  และประการสุดท้ายเพื่อเสี่ยงทายดินฟ้าอากาศและพืชพันธุ์ธัญญาหารว่าในปีนั้นๆ จะเป็นอย่างไร เช่น ถ้าบั้งไฟขึ้นสูงก็ทำนายว่าปีนี้ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์  นี่คือความเชื่อและศรัทธาในงานบุญบั้งไฟของชาวอีสาน

ความม่วนซืน  โฮแซว  ของงานบุญบั้งไฟแบบฉบับโบราณนั้นมีอยู่มากมาย  อีกมุมหนึ่งที่ขาดเสียมิได้คือ   “เซิ้งบั้งไฟ”  การเซิ้งบั้งไฟนั้นเป็นการฟ้อนประกอบการขับกาพย์   ซึ่งจะมีผู้นำในการขับกาพย์บั้งไฟและสมาชิกที่เหลือก็จะร้องตามพร้อมๆกันเป็นหมู่คณะ  บทเซิ้งที่ใช้จะเป็นคำกลอนภาษาอีสานที่เรียกว่า "กาพย์" ซึ่งวรรคหนึ่งประกอบขึ้นด้วยคำจำนวน 7 พยางค์ คำสุดท้ายของวรรคแรกจะสัมผัสกับคำที่ 1 หรือคำที่ 3 ของวรรคถัดไปอย่างนี้เรื่อยๆ  เช่น  บทกาพย์เซิ้งบั้งไฟเรื่องพระมุนี  ความว่า....
"โอมพุทโธ นะโมเป็นเค้า             ข้อยซิเว้ากาพย์พระมุนี
พระมุนีอยู่หัวเป็นเจ้า                   เว้าเมื่อหน้ายังกว้างกว่าหลัง
อนิจจังลูกหลานเต็มบ้าน  เจ้าอย่าคร้านปะฮีตครองธรรม
ให้บำเพ็ญภาวนาอย่าขาด              ให้ตักบาตรอย่าขาดวัดศีล
ให้กินทานจังหันแม่ออก               เพิ่นสอนบอกอย่าเกิดโมโห
โตสอนโตจื่อเอาให้ได้                  บาปอยู่ใกล้บุญนั้นอยู่ไกล
ผิดวิสัยอย่าทำเมื่อหน้า                  เป็นเหล็กกล้ามันถืกหินซา
ฝูงมัจฉาหมายชมน้ำใหม่              ลางนกใส่มันฮ้องเบื้องขวา
ลางนกทามันฮ้องออกชื่อ              ให้จื่อไว่นำฮีตบูฮาน"

กาพย์เซิ้งบั้งไฟบทนี้ได้ซ่อนหลักธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันไว้มากมาย  เช่น  สอนให้คนรู้จักปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม  รู้จักการฝึกบำเพ็ญภาวนา  การรู้จักทำบุญตักบาตร  การรู้จักเรื่องบาปบุญคุณโทษ...  ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น  เอ...จะมีใครสักกี่คนนะที่จะนำเอามุมดีๆแบบนี้ไปถือเป็นแนวปฏิบัติกับตัวเองบ้าง  ลองดูนะครับ



วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

สงกรานต์กลายพันธุ์

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...สงกรานต์กลายพันธุ์)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
“ฟ้าใหม่แล้วละนะน้องสงกรานต์เร้าร้องทำนองเพลงโยน  โน่นไงจ๊ะโทนป๊ะโทนโทนทั้งโยกทั้งโยนเย้ายวนยั่วใจ  วันตรุษหยุดการหยุดงานสังคมชาวบ้านสิคร้านครึกครื้น   เริงสงกรานต์กันพอขวัญชื้นๆฉลองวันคืน จนครื้นเครงคลาน”  นี่คือวรรคแรกของเพลงเพลงหนึ่งที่อยากให้ผู้อ่านลองทายกันเล่นๆว่า  ข้อความที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเนื้อร้องเพลงอะไร?  ผมเฉลยให้นิดหนึ่งก็ได้ว่าแต่เดิมเพลงนี้ได้รับความนิยมมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทยเรา...ได้คำตอบกันหรือยังล่ะครับ? 

นี่คือเพลงที่ถูกนำมาขับร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงปัจจุบันในช่วงเทศกาลสงกรานต์  ชื่อเพลงว่ารำวงเริงสงกรานต์ ประพันธ์เนื้อร้องโดย  ครูแก้ว  อัจฉริยะกุล  และขับร้องโดยวงสุนทราภรณ์  เพลงรำวงเริงสงกรานต์ถือเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใช้เฉพาะในช่วงประเพณีหรือเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น  โดยตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ผ่านมาความเป็นอมตะของเพลงก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ถึงปัจจุบัน  ด้วยจังหวะรำวงที่สนุกสนาน การประพันธ์เนื้อร้องที่เป็นบทกวี  การใช้เทคนิคการร้องสลับกันของฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงและมีท่อนสร้อยเพลงวนไปมาทุกวรรคเพลง  ทำให้เพลงดังกล่าวเปรียบสเหมือนเป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีของงานประเพณีสงกรานต์ไปเรียบร้อย 

            เพลงรำวงเริงสงกรานต์ได้ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดถึงบรรยากาศประเพณีสงกรานต์อย่างไทยได้อย่างงดงามในส่วนของการสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริง   ส่วนประเพณีสงกรานต์นั้นโดยแก่นแท้ๆแล้วถือเป็นประเพณีสำหรับการรดน้ำขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อเป็นสิริมงคลที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ  ต่อเนื่องด้วยการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า  การสรงน้ำพระ  การก่อพระเจดีย์ทราย  การทำบุญอัฐิญาติผู้ใหญ่ การปล่อยนกปล่อยปลา และมีการละเล่นพื้นบ้านของไทย คือ การเล่นมอญซ่อนผ้า และ การเล่นสะบ้า  เป็นต้น   ภาพบรรยากาศประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมที่กล่าวมาเริ่มจางหายไปจากสังคมไทยและมีการสร้างวัฒนธรรมสงกรานต์แบบใหม่ขึ้นมาแทนที่เป็นสงกรานต์เพื่อธุรกิจ  สงกรานต์เพื่อผลกำไร  สักวันหนึ่งสิ่งที่ดีงามของประเพณีดั้งเดิมก็จะถูกกลืนหายจนหมดสิ้น

            เมื่อขนบดั้งเดิมไม่ได้รับการดูแลหรืออนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่อย่างเหมาะสมจึงถูกสร้างประเพณีสงกรานต์แบบใหม่ขึ้นมาแทนที่ชนิดว่ากู่ไม่กลับแล้ว  เช่น การสาดน้ำจากบนรถปิคอัพ การใช้ปืนฉีดน้ำ การใช้น้ำแข็งหรือการใช้แป้งสีต่างๆระบายหรือละเลงไปตามตัวและหน้าตารวมทั้งการเต้นแบบโคโยตี้    ซึ่งนี่ก็เป็นงานยอดฮิตที่ไม่มีใครกล้าต้านกระแสดังกล่าวได้เลย  ถือเป็นการรุกหนักของกระแสทุนนิยมผ่านวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยโดยไม่รู้ตัว  เมื่อถึง  ณ  จุดจุดหนึ่งประเพณีสงกรานต์ของไทยจะเป็นอย่างไรนั้นคงคาดเดาได้ไม่ยากนัก  แต่ผมเชื่อว่ามันยังไม่ถึงทางตันขนาดนั้นช่วยกันนะครับประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมต้องอยู่คู่คนไทย   ช่วยกันสืบสานประเพณีที่ดีงามไว้ให้ลูกหลานบ้างเด้อ  อย่ามัวเมาลุ่มหลงในวัฒนธรรมอื่นจนลืมความเป็นไทยแท้ๆ  อยากเห็นในมุมนี้บ้าง....ครับพี่น้อง

วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

ฮักกันคือจังปั้นข้าวเหนียว

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...ฮักกันคือจังปั้นข้าวเหนียว)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            สมัยเด็กๆผมเคยได้ฟังนิทานอีสปอยู่เรื่องหนึ่งคือหมาป่ากับลูกแกะ  เมื่อเล่าจบคุณครูก็ตามด้วยคำถามที่ว่า  “ เด็กๆนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....? ”  นี่คือเสน่ห์ของนิทานที่เด็กๆชอบฟังและได้มุมมอง  ข้อคิด  คติสอนใจแตกต่างกันออกไป  เช่นเดียวกันกับนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะที่เด็กแต่ละคนก็จะตอบคำถามในสิ่งที่ตัวเองได้ฟังแตกต่างกันออกไปเหมือนกัน  เช่น  บ้างก็ตอบว่าคนพาลย่อมหาเรื่องกล่าวร้ายผู้อื่นได้เสมอ  แม้ผู้นั้นจะไม่มีความผิดก็ตาม...  บ้างก็ตอบว่าควรทำแต่ความเจริญ อย่าเบียดเบียนผู้อื่น...  บ้างก็ตอบว่าผู้ที่ไม่มีความกรุณา จะไม่ยอมรับฟังเหตุผล... ฯลฯ  ทำไมผมจึงเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่ฟัง

            เรื่องราวของนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะยังไม่จบลงเพียงเท่านี้เมื่อน้าวี  นายวีระศักดิ์  ขุขันธิน  ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าวง “สองวัย”  ซึ่งเป็นวงดนตรีเพื่อเด็กที่ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานของยุทธจักรวงการเพลงไทย  ได้นำเรื่องราวของนิทานดังกล่าวมาประพันธ์เป็นบทเพลงชื่อว่า  เพลงลูกแกะกับหมาป่า  ในปี  พ.ศ. 2522  ซึ่งอยู่ในอัลบั้มชุดที่1  ชื่อชุดว่าเจ้าผีเสื้อเอย  ซึ่งเพลงลูกแกะกับหมาป่านี้เป็นเพลงในแนวโฟร์คซองเน้นที่เนื้อหาของเนื้อร้องเป็นสำคัญและมีระยะเวลาในการเล่าเรื่อราวอยู่ทั้งหมด  4.36  นาที 
           
เสน่ห์และความน่าสนใจของเพลงลูกแกะกับหมาป่านั้นมีอยู่ด้วยกันกัน  5  ประการ  คือ  ประการที่หนึ่งการเปลี่ยนคำจากหมาป่ากับลูกแกะมาเป็นชื่อเพลงลูกแกะกับหมาป่า  ซึ่งการเปลี่ยนคำตรงนี้จะทำให้เกิดจุดที่น่าสนใจคือลูกแกะกลายเป็นตัวละครเอกของเรื่อง  ประการที่สองคือส่วนของดนตรีใช้กีตาร์โปร่งในการบรรเลงคอร์ดและสอดแทรกการประสานในบางห้องเพลงทำให้ดนตรีมีความเรียบง่าย  ฟังสบาย  ประการที่สามคือมีการใช้ภาษาในการประพันธ์เพลงที่เรียบง่ายมีการลำดับเรื่องราวที่สามารถจินตนาการมองเห็นภาพที่ชัดเจน  ประการที่สี่คือมีการใช้วิธีการขับร้องตอบโต้กันแบบเล่านิทานระหว่างคนสองคนคือนักร้องหญิงกับนักร้องชายทำให้เกิดอรรถรสในการรับฟัง  และประการสุดท้ายคือการเขียนเรื่องราวเพลงที่หักมุมเดิมให้แตกต่างจากนิทานอีสปที่เคยฟังทั่วๆไป


            นอกจากความสนุกเพลิดเพลินจากการฟังเพลงลูกแกะกับหมาป่าแล้วยังได้ความรู้สึกเหมือนกับการได้ฟังนิทานอีกเป็นเรื่อง  ผมมาสะดุดตรงท่อนสุดท้ายของเพลงที่ว่า  “ลูกแกะตัวน้อยๆ ยืนเป็นร้อยอยู่เรียงราย  รวมพลังทั้งใจกาย ขับไล่วายร้ายที่มารุกราน  ทำใจให้เข้มแข็ง ร่วมแรงกันอย่างอาจหาญ  ขับไล่ไอ้ตัวมาร ที่คอยรุกรานและคอยทำลาย”  จะเห็นว่าเพลงลูกแกะกับหมาป่านั้นได้สอดแทรกเรื่องความสามัคคี  การรวมพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันว่าสามารถต่อสู้กับอธรรมได้เหมือนลูกแกะหลายๆตัวรวมกันจนเอาชนะหมาป่าได้  เรื่องราวเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับเด็กๆและสังคมไทยนะครับ  อยากเห็นคนไทยในมุมนี้บ้างช่วยกันนะครับ    

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความรัก...ความอบอุ่นที่หายไป

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...ความรัก  ความอบอุ่นที่หายไป)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ความรักเป็นอีกหนึ่งคำที่ทุกคนให้คำนิยามแตกต่างกันออกไป  บางคนบอกว่ารักคือการให้   รักคือการเสียสละ  รักคือความห่วงใย....  ก็แล้วแต่มุมมองของบุคคลว่าจะคิดกันอย่างไร  ถึงแม้ว่าความรักจะเป็นเพียงนามธรรมที่สัมผัสไม่ได้ก็ตาม  แต่สามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกและการกระทำ  การมอบความรักให้กันและกันจึงเป็นสิ่งที่ใครๆต่างปรารถนา  มุมมองของความรักวันนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการที่ได้ฟังเพลง18 ฝน  ขณะขับรถมาทำงาน  นิยามความรักแบบนี้น่าสนใจนะครับ

            “อาจจะมีบางทีฉันดูสับสนมีใครบ้างไหมซักคนยอมทนรับฟังเรื่องราว  บ้านที่มีบางทีก็เหมือนไม่มี  มันคือนรกดีๆบางทีฉันก็ปวดร้าว”   นี่คือวรรคแรกของเพลง18 ฝน  ที่สะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก  เพลง18 ฝน  ประพันธ์คำร้อง / ทำนองและขับร้องโดย  เสือ  ธนพล  อินทร์ฤทธิ์  ในปีพ.ศ.2537  ในชุดทีของเสือ  ซึ่งถือเป็นอัลบั้มชุดแรกของเขาและได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นเป็นอย่างดีในยุคนั้น 
บทเพลงของเสือ  ธนพล  เกือบทุกเพลงมักจะมีกลิ่นอายของเพลงเพื่อชีวิตเจือปนอยู่ด้วย   มีภาษาและเนื้อหาเป็นเอกลักษณ์ของตน  สะท้อนถึงปัญหาการใช้ชีวิตในสังคม และมุมมองการใช้ชีวิตด้วย แม้จะไม่มีใครจัดว่าเขาเป็นศิลปินนักดนตรีเพื่อชีวิตก็ตาม   แต่ผลงานเพลงคุณภาพแต่ละอัลบั้มที่เสือทำล้วนแล้วมาจากความตั้งใจจริง  รวมถึงเพลง18 ฝน  ที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้  จะเห็นได้ว่าเสือได้สะท้อนถึงปัญหาความรักความอบอุ่นในมุมของการใช้ชีวิตของสังคมไทยเมื่อประมาณ  23  ปีที่แล้ว  และปัญหานั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน

ปัญหาการปล่อยให้กับเด็กและเยาวชนอยู่บ้านตามลำพัง  ผู้ปกครองไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดปล่อยให้เขาอยู่กับปู่  ย่า  ตา  ยาย  แล้วตัวเองก็ส่งเพียงเงินมาให้ใช้จ่ายประจำวันโดยคิดว่านั่นคือสิ่งที่ลูกๆต้องการและน่าจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกดีขึ้น  แต่เปล่าเลยครับความรักต่างหากที่เขาต้องการและเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีมากๆ  ลองจินตนาการตามเพลง18 ฝนในท่อนที่สองดูนะครับ  “เฝ้าอิจฉาดูใครเขาพร้อมครอบครัวทำไมฉันมีแต่ตัว หวาดกลัวไม่รู้เรื่องราว  รู้บ้างไหม ในหัวใจ มันร้องหาใครสักคนคอยปรึกษาคอยเข้าใจ ไม่ขอมากไปกว่านี้”  เห็นไหมครับว่าเด็กๆเขาต้องการความรักความอบอุ่นในครอบครัวของเขามากกว่าสิ่งอื่นใด  การได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  พ่อ  แม่  ลูก  จึงเป็นเม็ดยาวิเศษเลยที่เดียว
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามมากนะครับ  การมองข้ามและลืมมอบความรักให้กับคนที่อยู่ใกล้เราอย่างเด็กๆและเยาวชนมันอาจจะทำให้คุณสูญเสียคนรักไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้  มีผู้ปกครองเด็กนักเรียนเอยปากกับผมว่า  “หนูหลงผิดครู  ถ้าย้อนเวลาไปได้หนูจะอยู่กับลูก  หนูจะดูแลเลี้ยงดูด้วยตัวเอง  ตอนนั้นหนูคิดว่าเงินสามารถซื้อความสุข  ซื้อความรักความอบอุ่นให้กับเขาได้  หนูไม่น่าเลย...”  

เพลง18 ฝนก็จบลงและได้สะท้อนปัญหาให้เราได้เห็น  “รู้บ้างไหม ในหัวใจ มันร้องหาใครสักคนคอยปรึกษาคอยเข้าใจ ไม่ขอมากไปกว่านี้18 ฝน 18 หนาว มันร้าวในใจสิ้นดีอย่าลืมฉัน อย่าเดินหนี วันนี้ในใจสับสน”  ความรักคือสิ่งที่เด็กๆต้องการจากพ่อแม่โดยตรง  ทำยังไงดีครับ  อยากเห็นความรักในมุมนี้บ้าง



วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

สื่อหนึ่งผืน หมอน 1 ใบ

“อยากเห็นศรีสะเกษ....ในมุมนี้บ้าง”  (ตอน...เสื่อหนึ่งผืน  หมอน  1 ใบ)
โดย...นุกูลกิจ  ทวีชาติ
            ผมมีโอกาสได้ดูละครเรื่องอยู่กับก๋งในช่วงเวลาวันหยุดเสาร์ อาทิตย์  แล้วเกิดความประทับใจในวัฒนธรรมวิธีการสอนของชาวจีนในแผ่นดินสยามที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่บรรพบุรุษถึงปัจจุบัน  และภาพความประทับใจนั้นก็มาติดซึ้งตรึงใจอยู่ตรงบทเพลงที่ใช้ประกอบละครเรื่องอยู่กับก๋ง  นั่นคือเพลงวิหคพลัดถิ่น
           
เพลงวิหคพลัดถิ่น  ประพันธ์คำร้อง / ทำนอง  โดยนายยืนยง  โอภากุล  ซึ่งเป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงและมีบทบาททางสังคมอีกคนหนึ่งของเมืองไทย  หรือที่รู้จักและคุ้นเคยกันในนามแอ๊ด  คาราบาว  ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556 โดยประพันธ์ขึ้นในปี  พ.ศ. 2548  อยู่ในอัลบั้มสามัคคีประเทศไทย  เพลงวิหคพลัดถิ่นนั้นมีมุมและประเด็นที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยตามผมมาครับ
           
เพลงวิหคพลัดถิ่นได้บอกเล่าเรื่องราวของก๋ง ชาวจีนจากโพ้นทะเลที่อพยพจากเมืองจีนมาพึ่งพระบรมโพธิ์สมภารของพระมหากษัตริย์ไทย ดั่งเช่นเนื้อร้องท่อนแรกที่ว่า  “เมื่อแดนดินแม่กันดาร  จิตวิญญาณของก๋งล่องลอย   เก็บเสื่อหมอนของใช้นิดหน่อย  เจ้านกน้อยโผบินจากรัง  ฝ่าคลื่นลม ภูเขา ทะเล  ขึ้นสำเภาที่ใกล้จะพัง  สร้างชีวิตใหม่โพ้นฟากฝั่ง  คือความหวังของจีนสยาม”  เนื้อเพลงเล่าเรื่องได้อย่างเห็นภาพว่าการเดินทางของชาวจีนนั้นลำบากขนาดไหน
วิหคพลัดถิ่นในส่วนของภาคดนตรีนั้นมีการเรียบเรียงเสียงประสานอย่างอลังการมีการนำทำนองกลิ่นอายแบบจีนมาผสมผสานได้อย่างลงตัวและน่าฟัง  ถึงแม้เพลงวิหคพลัดถิ่นไม่ได้มีเนื้อหากล่าวถึงในหลวงโดยตรง แต่มีการมุ่งเน้นไปที่การสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน โดยเฉพาะในท่อนจบที่มีการพูดถึงการสำนึกในบุญคุณใต้แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างกินใจมาก  คือ “...อยากฝากกายวิหคพลัดถิ่น ใต้แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัว ...จดจำสำนึกคุณ
เรื่องราวของวิหคพลัดถิ่นถึงแม้จะมีเวลาเล่าเรื่องราวแค่ 3.04  นาที  แต่มนต์เสน่ห์ของเพลงทำให้ผมสนใจเรื่องราวคำสอนของชาวจีนในแผ่นดินสยามที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน  จากสื่อผืนหมอนใบที่ได้นำติดตัวมา  ทุกวันนี้พี่น้องชาวจีนได้ประกอบธุรกิจเป็นฐานเศรษฐกิจที่เป็นกำลังหลักของประเทศมากมายอย่างที่รู้จักกัน  ด้วยคำสอน  คำ  ที่ปลูกฝังต่อกันมาตั้งแต่เด็กนั่นก็คือ  ความขยัน  ซื่อสัตย์  ประหยัด  อดทน  กตัญญู  คำสอนเหล่านี้มีความสำคัญมากที่ต้องมีและอยู่คู่กับคนไทยเหมือนที่คนจีนเขาสอนลูกสอนหลานของเขา
นอกจากสิ่งที่ต้องมีในตัวเองแล้วยังมีคำสอนที่คนจีนห้ามพูดโดยเด็ดขาดอีก  5 คำ  ได้แก่ หนึ่งห้ามพูดว่า  ยาก  เพราะมันจะไปปิดกั้นความสามารถเราทันที   สองห้ามพูดว่า  ทำไม่ได้  เพราะมันเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของเรา  สามห้ามพูดว่า  ท้อ  เพราะพลังทั้งมวลจะสูญสิ้นจากตัวเรา  สี่ห้ามพูดว่า  ขี้เกียจ  เพราะเป็นการสร้างความไม่รับผิดชอบให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และประการสุดท้ายห้ามพูดว่า  เหนื่อย  เพราะร่างกายจะตอบสนองด้วยการอ่อนแอลงทันที

จากเสื่อหนึ่งผืน  หมอนหนึ่งใบ  และคำสอนง่ายๆแบบนี้ผมอยากเห็น  อยากให้เข้าไปอยู่ในใจของเยาวชนไทยทุกคน   หาวิธีการช่วยกันนะครับอยากเห็นคนไทยในมุมนี้บ้าง....